จีนตั้งเป้าเศรษฐกิจโต 6.5% ปีนี้
จีนยังคงมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยตั้งเป้าจีดีพีอยู่ที่ประมาณ 6.5% และลดสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณลงมาอยู่ที่ 2.6% อ้างอิงจากรายงานการทำงานของรัฐบาลประจำปีที่มีการนำส่งโดยนายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงในเช้าวันที่ 5 มี.ค.
โดยนายกฯ หลี่มีกำหนดจะนำเสนอรายงานในการประชุมช่วงแรกของสภาประชาชนแห่งชาติ
ทั้งนี้ จีนจะยังคงใช้นโยบายการเงินที่รอบคอบ เป็นกลาง และนโยบายการคลังเชิงรุกเพื่อคงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ ขณะที่ใช้มาตรการที่หนักแน่นเพื่อรับมือกับปัจจัยเสี่ยงทางการเงิน อ้างอิงจากรายงานฉบับร่าง ซึ่งมีการเผยแพร่ก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น
ในปี 2560 จีนมีการเติบโตของจีดีพีอยู่ที่ 6.9% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าคือประมาณ 6.5% ตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ โดยนักวิเคราะห์ทั่วไปคาดการณ์ว่าการเติบโตจะลดความร้อนแรงลงในปีนี้ แต่ยังคงอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้
ตัวเลขขาดดุลงบประมาณตั้งเป้าไว้ที่ 2.38 ล้านล้านหยวน หรือราว 12.04 ล้านล้านบาทในปีนี้ และการขาดดุลงบประมาณคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีอยู่ที่ 2.6% เมื่อเทียบกับ 3% ในปี 2560 อ้างอิงจากรายงาน
โดยในรายงานระบุว่า จีนจะต้องทำสามงานสำคัญให้สำเร็จลุล่วงเพื่อป้องกันความเสี่ยงหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความเสี่ยงทางการเงิน การบรรเทาความยากจนได้ตามเป้า และการควบคุมลภาวะ
รายงานยังชี้ว่า เป้าหมายเงินเฟ้อผู้บริโภค ที่ชี้วัดด้วยดัชนีราคาผู้บริโภค อยู่ที่ประมาณ 3% ในปีนี้ โดยการเติบโตของ CPI ในปี 2560 คือ 1.6%
จีนมุ่งที่จะสร้างงานให้ได้อย่างน้อย 11 ล้านอัตราในปี 2561และทำให้อัตราคนว่างงานในเมืองที่มีการจดทะเบียนต่ำกว่า 4.5% อ้างอิงจากรายงาน โดยตัวเลขการว่างงานจากผลสำรวจควรต่ำกวา 5.5%
นอกจากนี้ จีนจะปรับลดรายได้จากการเก็บภาษีลงประมาณ 800,000 ล้านหยวน หรือราว 4.04 ล้านล้านบาทในปีนี้ อ้างอิงจากรายงาน
ทั้งนี้ จีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ใช้กลไกระยะยาวและการควบคุมกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดให้เป็นไปตามเป้า เพื่อคงเสถียรภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย
‘เสถียรภาพ’ จะเป็นคำที่ต้องเผ้าจับตาดูในปีนี้ เพราะประธานาธิบดีสีจิ้นผิงมีวิสัยทัศน์ที่จะเปลี่ยนจีนเป็นชาติที่ ‘ มั่งคั่งอย่างพอประมาณ ’ ภายในปี 2563 และมี ‘ อำนาจอย่างแข็งแกร่ง ’ บนเวทีโลกภายในปี 2593
คาดการณ์ว่า สภาประชาชนแห่งชาติ ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดการประชุมในวันที่ 20 มี.ค.นี้จะอนมัติการปรับโครงสร้างของหลายหน่วยงานรัฐบาล และมีการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญ รวมทั้งตำแหน่งรองประธานาธิบดี รองนายกรัฐมนตรี และผู้ว่าการธนาคารกลางคนใหม่