จีนเพิ่มกำลังทหารเป็นสองเท่าในฮ่องกง
ฮ่องกง (รอยเตอร์) – จีนเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงเป็นสองเท่าในฮ่องกง อ้างอิงจากแหล่งข่าวซึ่งเป็นทูตต่างประเทศและนักวิเคราะห์ความมั่นคง นับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สุดเนื่องจากรัฐบาลจีนเตรียมพร้อมรับมือเหตุความไม่สงบในฮ่องกง ซึ่งเป็นฮับการเงินระดับโลก
ในเดือนส.ค. จีนเคลื่อนกำลังพลหลายพันนายมาประชิดพรมแดนฮ่องกง ซึ่งมีการประท้วงมาตั้งแต่เดือนมิ.ย.
โดยสำนักข่าวซินหัวของจีนชี้แจงปฏิบัติการนี้ว่าเป็นการสับเปลี่ยนกำลังพลตามปกติของกองทัพจีนที่ประจำการในฮ่องกงมาตั้งแต่รับมอบเกาะฮ่องกงคืนจากอังกฤษเมื่อปี 2540
เมื่อเดือนก่อน ทูตจากเอเชียและประเทศตะวันตก 7 ประเทศกล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อรอยเตอร์ว่า พวกเขาทราบมาว่าการสับเปลี่ยนกำลังพลในเดือนส.ค.ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นการเพิ่มกำลังพลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
โดยทูต 3 คนในจำนวนนี้ระบุว่า เจ้าหน้าที่ทหารของกองทัพจีนในฮ่องกงเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่านับตั้งแต่มีการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในเดือนมิ.ย.
ตามปกติ จำนวนเจ้าหน้าที่จากกองทัพจีนที่ประจำการในฮ่องกงมีประมาณ 3,000 – 5,000 นายก่อนหน้านี้ และประเมินว่าตอนนี้มีทหารประมาณ 10,000 – 12,000 นาย
ทำให้บรรดาทูตกลุ่มนี้เชื่อว่า จีนมีการรวมพลครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) และเจ้าหน้าที่ต่อต้านการจลาจล และยุทโธปกรณ์ในฮ่องกง
ทั้งนี้ทางสำนักงานของแคร์รี แลม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงและ PLA ในฮ่องกงยังไม่ได้ให้ความเห็นในประเด็นนี้
ขณะที่โฆษกตำรวจฮ่องกงกล่าวกับสื่อรอยเตอร์ว่า ทางตำรวจ “ สามารถคงศักยภาพการควบคุมและปราบกรามอาชญากรรมอย่างเข้มงวดได้ และคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในฮ่องกง”
การรวมกำลังพลในฮ่องกงยังรวมถึงอุปกรณ์ในการรับมือกับเหตุความรุนแรงในเมือง ทั้งรถบรรทุกน้ำไว้ฉีดใส่ผู้ประท้วงและรถบรรทุกที่ใช้ในการปิดกั้นกีดขวางถนน
ผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ได้ติดตามแกะรอยปฏิบัติการของ PLA ทั่วทั้งสถานที่ประจำการ 17 แห่งทั่วฮ่องกง เกาลูน โดยส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ข้อตกลงในการส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้จีนในปี 2540
นักวิเคราะห์ต่างประเทศระบุว่า การเสริมกำลังพลในขณะนี้ของจีนมีจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์
“ ดูเหมือนจะเป็นแผนการที่ไม่แน่นอนและอาจเกิดขึ้นได้ในการรับมือกับบางอย่าง เช่นการสลายการชุมนุมจากการสั่งการของตำรวจฮ่องกง” อเล็กซานเดอร์ นีล นักวิเคราะห์ความมั่นคงที่ประจำในสถาบันนานาชาติเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ในสิงคโปร์ระบุ.