ข่าวเด่น เย็นนี้ 11 ก.ค.2567
ข่าวเด่น เย็นนี้ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) เปิดเผยว่า ไทยเตรียมสมัครเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม InterPride Annual General Meeting & World Conference สำหรับปี 2025 ซึ่งเป็นการประชุมของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศจากทั่วโลกที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
เรื่องที่ 4,704 โดยล่าสุดวันนี้ (11 ก.ค. 2567) เครือข่ายการจัดงาน Pride ทั่วประเทศและสมาชิก InterPride ในไทย ได้เลือกให้จังหวัดภูเก็ต เป็นเมืองสำหรับจัดการประชุมฯ ซึ่งไทยจะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการในการประชุม InterPride Annual General Meeting & World Conference 2024 ที่สาธารณรัฐโคลอมเบีย ในเดือนต.ค. 2567 ต่อไป
โดยคาดการณ์ว่าไทยจะสามารถดึงดูดผู้เข้าร่วมการประชุมได้ 700 – 800 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศถึง 1,140 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาการจัดงาน 5 วัน
ทั้งนี้ ไทยมีข้อได้เปรียบจากการมี Pride Community ที่เข้มแข็ง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมิตรกับกลุ่ม LGBTQIAN+ ประกอบกับการผ่านร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมของสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ ถือเป็นข้อได้เปรียบของไทยที่แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการสนับสนุนความเท่าเทียม และความเสมอภาค รวมถึงยังสามารถนำไปเป็นแต้มต่อในการคว้าสิทธิเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลระดับโลก World Pride 2030 ซึ่งไทยจะมีการจัดกิจกรรม Road to World Pride เพื่อผลักดันต่อไป
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ต่อยอดความสำเร็จ เดินหน้าจัดกิจกรรม Pride ต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรต่อการต้อนรับนักท่องเที่ยว LGBTQIAN+ จากทั่วทุกมุมโลก
อาทิ งานขบวนพาเหรดเฉลิมฉลองความหลากหลายและความเท่าเทียม (Pride Parade) ที่จัดขึ้นในช่วงเดือนมิ.ย. การจัดประกวดสตรีข้ามเพศระดับนานาชาติ (Miss International Queen) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24 ส.ค. 2567 และมหกรรมเทศกาลการเต้นระดับโลกสำหรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ (White Party Bangkok) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 31 ธ.ค. 2567 ซึ่งการจัดกิจกรรมดังกล่าวจะเป็นประตูบานสำคัญที่เปิดให้เห็นว่า ไทยพร้อมเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวสร้างสรรค์สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงนักท่องเที่ยว LGBTQIAN+ ซึ่งถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง ช่วยสร้างรายได้และโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ตลอดจนสนับสนุนเป้าหมายของไทยในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว (Tourism Hub) ของภูมิภาค
เรื่องที่ 4,705 เรียกว่าเป็นการแจ้งข่าวร้ายให้ได้รับทราบกันอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียวสำหรับคอลัมภ์ บก.ชวนคุย เมื่อราคาน้ำมันดีเซลกำลังจ่อขึ้นราคาเพิ่มอีก 1 บาทต่อลิตร หลังวันที่ 31 ก.ค. 67 ที่จะถึงนี้
เมื่อล่าสุดมีแหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานแจ้งมาว่า การกำหนดราคาน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.เป็นต้นไปภายหลังครบกำหนดกรอบราคาไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งกำหนดตรึงตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย. 2567 ครบกำหนด 31 ก.ค. 2567
เบื้องต้นมีแนวโน้มว่าคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีท่านตุ๋ย “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน จะมีการพิจารณาแนวทางการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลแบบทยอยขึ้นกรอบ 1 บาทต่อลิตร
ซึ่งตรงนี้จะมีผลทำให้ราคาปลายทางอยู่ที่ระดับไม่เกิน 34 บาทต่อลิตร เหตุผลก็คือเพื่อรักษาสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปัจจุบันฐานะวันที่ 7 ก.ค. 2567 ติดลบ 111,595 ล้านบาท
เมื่อดีเซลจะขยับขึ้นอีก ต้นทุนข้าวของอย่างอื่นก็คงจะขยับขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะค่าขนส่ง และต้นทุนการผลิต ประชาชนตาดำๆอย่างพวกเราก็เตรียมรับแรงกระแทก ไม่รู้ว่าพวกท่านเจ้านายจะรู้ถึงความเดือดร้อนกันบ้างไหมน๊อออออออออ
เรื่องที่ 4,706 อย่าเพิ่งตกใจกันไป มาฟังกันชัด ๆ ทางนี้ ที่ว่าคลังลดวงเงิน ดิจิทัลวอลเล็ตลงนั้น ไม่ใช่ปัญหา เพราะยังช่วยกระตุ้น GDP 1.3-1.8% โดย นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวถึงการกำหนดวงเงินโครงการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ตไว้ที่ 4.5 แสนล้านบาทนั้น สืบเนื่องมาจากในการประเมินโครงการเก่า ๆ ที่ภาครัฐได้ดำเนินการ อาทิ เราเที่ยวด้วยกัน ชิมช้อปใช้ พบว่า ประชาชนไม่ได้มาลงทะเบียนใช้สิทธิเต็ม 100% โดยจะอยู่ที่ราว 80% เท่านั้น
ดังนั้นจึงเห็นว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ก็ควรตั้งงบประมาณให้เพียงพอและสอดคล้องข้อเท็จจริง จึงออกมาเป็นงบประมาณที่ 4.5 แสนล้านบาท
อีกทั้งเนื่องจากมีข้อกังวลจากหน่วยงานตรวจสอบภาครัฐ ที่มองว่ารัฐบาลไม่ควรจะตั้งงบประมาณสูงเกินไป เพราะจะทำให้เป็นการเสียโอกาสของประเทศด้วย พอได้ฟังแบบนี้แล้ว ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่รีบเร่งหน่อยนะขอรับ พี่น้องประชาชนตาดำ ๆ รอจนแห้งเหี่ยวแล้ว…
สรุปข่าวเด่นต่างประเทศ
เรื่องที่ 4,707 กระทรวงการคลังเกาหลีใต้เปิดเผยในวันนี้ (11 ก.ค.) ว่า องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้จะขยายตัว 2.6% ในปี 2567 โดยได้แรงหนุนจากยอดส่งออกที่ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวของ OECD ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนพ.ค. โดยในเวลานั้น OECD ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจเกาหลีใต้ในปี 2567 จากระดับ 2.2% มาอยู่ที่ระดับ 2.6% สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า ตัวเลขคาดการณ์ล่าสุดของ OECD แข็งแกร่งกว่าที่รัฐบาลเกาหลีใต้คาดการณ์ไว้ว่า เศรษฐกิจของประเทศจะขยายตัว 2.5% และดีกว่าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.3%
เรื่องที่ 4,708 หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงิน (FCA) ของอังกฤษประกาศใช้กฎระเบียบใหม่สำหรับบริษัทที่นำหุ้นเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอน โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการเติบโตของตลาด หลังจากการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (IPO) ชะลอตัวลง
FCA ระบุในแถลงการณ์ว่า กฎระเบียบใหม่ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 ก.ค.นั้น จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าระบบการจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นของอังกฤษมีความสอดคล้องมากขึ้นกับตลาดหุ้นอื่น ๆ อีกทั้งจะช่วยให้การเข้าจดทะเบียนมีความสะดวกมากขึ้นและคล่องตัวมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ FCA ระบุว่า การใช้กฎระเบียบใหม่สำหรับการจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 30 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนบริษัทเป็นวงกว้างมากขึ้นในการออกหุ้นในตลาดหุ้นอังกฤษ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับนักลงทุน
เรื่องที่ 4,709 โกลบอล เอเนอร์จี มอนิเตอร์ (Global Energy Monitor) หรือ GEM ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองในสหรัฐ เปิดเผยในวันนี้ (11 ก.ค.) ว่า เกือบ 2 ใน 3 ของโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่กำลังก่อสร้างทั่วโลกในปัจจุบันนั้น ตั้งอยู่ในจีน ซึ่งกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ได้เบียดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ผู้เขียนรายงานจาก GEM ระบุว่า การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนของจีนในปัจจุบันทำให้เป้าหมายระดับโลกในการเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนเป็น 3 เท่าภายในสิ้นปี 2573 นั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แม้จะไม่นับรวมโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเพิ่มเติมก็ตาม และได้เรียกร้องให้จีนยกระดับเป้าหมายในคำมั่นสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศต่อสหประชาชาติ (UN) ในปีหน้า
เรื่องที่ 4,710 หนังสือพิมพ์เดอะ มิเรอร์ ของทางการเมียนมา รายงานโดยอ้างคำพูดของนายตัต ตัต ข่าย รัฐมนตรีกระทรวงการโรงแรมและการท่องเที่ยวเมียนมาว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะ 600,000 คนในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 โดยส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนและไทย
นายตัต ตัต ข่าย กล่าวว่า สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และองค์กรพันธมิตรได้พยายามอย่างมากเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการพัฒนาการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ ในปี 2566 เมียนมามียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะ 1.28 ล้านคน โดยส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิกอาเซียน ไปจนถึงจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
โดยนพซวัชร์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ข่าวเด่น เย็นนี้ 10 ก.ค.2567