ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 27-28 ก.ย. 2566
พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล
เรื่องที่ 2,931 พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ได้รับเลือกจากที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ให้เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ เรียงลำดับ ผบ.ตร.คนที่ 14
พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2507 ที่อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 5 คนของนายนิพนธ์และนางสมนึก สุขวิมล และเป็นน้องชายของพลอากาศเอกสถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์และเลขาธิการพระราชวัง ด้านชีวิตครอบครัวสมรสกับนาง นิภาพรรณ สุขวิมล มีบุตรสาวทั้งสิ้น 2 คน
การศึกษา จบการศึกษาระดับประถมศึกษาจาก โรงเรียนพันธะศึกษา ระดับมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนโยธินบูรณะ ระดับปริญญาตรีจาก คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่นที่ 38 และจบปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณทิต จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม
ถ้านับความอาวุโส ในบรรดาแคนดิเดตว่าที่ ผบ.ตร.ทั้ง 4 คน ต้องบอกว่า บิ๊กต่อ มีความอาวุโสน้อยที่สุด โดยผู้มีความอาวุโสอันดับ 1 คือ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ 2)พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล 3)พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์
และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นอันดับ 4
ฉะนั้น การผงาดขึ้นครองตำแหน่ง ผบ.ตร.ของ บิ๊กต่อ ย่อมไม่ธรรมดา
เรื่องที่ 2,932 ว่าด้วยเรื่องการบิ๊วพี่ปุ้ย “พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมให้ร้องเพลง ควันหลงจากการลงพทื้นที่จังหวัดชุมพร เพื่อประชุมขับเคลื่อนนโยบายและแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย
คืนนั้นกับบรรยากาศการรับประทานหอาหารเย็นร่วมกับระหว่างผู้สื่อข่าว ท่าน รมว.อุตสาหกรรม และข้าราชการจากทุกหน่วยงานที่มาร่วมคณะ ผู้สื่อข่าวต้องพยายามบิ๊วกันอยู่นานกว่าพี่ปุ้ยจะยอมจับไมค์ร้องเพลงให้ได้ยินกัน
แต่ก็ต้องเนรียนกว่าคุ้มค่าสมการรอคอย เพราะท่านมีทักษะการร้องเพลงที่ไม่ธรรมดา แถวเพลงที่เลือกร้องก็ช่างปลุกใจชาวคณะได้เป็นอย่างดี กับเพลง “ศรัทรา” ของวงดนตรีหินเหล็กไฟ”
แต่พอฟังไปฟังมา ทุกคนที่มาร่วมกันช่วยกันร้องอย่างเต็มเสียง ความรู้สึกกับเหมือนมาประชุมธุรกิจ”ขายตรง”ยังไงชอบกล เพราะเพลง ศรัทรา มักจะถูกหยิบจับมาร้องอยู่เสมอเมื่อมีการประชุม แต่ก็ต้องชื่ชมในสปิริตของท่าน รมว.อุตสาหกรรม ที่ยอมร้องเพลงขับกล่อมให้ได้ฟังกัน แถมยังแถมให้อีกหนึ่งเพลงด้วยก่อนที่ท่านจะเดินกลับที่พัก
เรื่องที่ 2,933 นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ กนง. กล่าวว่า กนง.มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 2.50% โดยมีผลทันทีว่า ในระยะสั้นหากภาพรวมเศรษฐกิจไม่เปลี่ยนแปลง ก็เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระดับปัจจุบันมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจระดับศักยภาพในระยะยาว
ส่วนระยะสั้น ต้องคำนึง 3 ปัจจัย คือ 1. ต้องแน่ใจว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ในระดับศักยภาพ 2. เงินเฟ้อได้กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และ 3.ระบบการเงินโดยรวมยังทำงานได้ดี ไม่มีปัญหา ขณะที่ความไม่แน่นอนก็ค่อนข้างมาก ทั้งเศรษฐกิจต่างประเทศที่ชะลอตัว จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่แน่นอน และมาตรการภาครัฐที่ยังไม่ชัดเจน
ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 67 ที่ 4.4% ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 3.8% นั้น เป็นการรวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการคลัง โดยเฉพาะผลจากมาตรการดิจิทัล วอลเล็ต วงเงิน 560,000 ล้านบาทไว้แล้ว โดยปีนี้ คาดว่า เศรษฐกิจมีการเติบโต 2.8% จากเดิม 3.6%!!
เรื่องที่ 2,934 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “5 นโยบายเร่งด่วน รัฐบาลเศรษฐา” ประกอบด้วย 1. การเติมเงิน 10,000 บาทผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 2. การแก้ปัญหาหนี้สินภาคการเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน 3. การลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชน 4. การผลักดันรายได้จากการท่องเที่ยว และ 5. การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
จากผลสำรวจพบว่า นโยบายที่ควรดำเนินการเร่งด่วนที่สุด คือ นโยบายการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน (ค่าน้ำมัน ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า) 86.00% รองลงมา คือ นโยบายการแก้ปัญหาหนี้สินภาคการเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน 72.69% และนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท 63.95%
นโยบายที่คาดว่า จะทำได้สำเร็จมากที่สุดคือนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท 63.68% รองลงมาคือ นโยบายการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน (ค่าน้ำมัน ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า) 62.46% และการผลักดันรายได้จากการท่องเที่ยว 60.78%
ส่วนสิ่งที่ประชาชนอยากให้เร่งดำเนินการเพิ่มเติมมากที่สุด อันดับ 1 คือ การขึ้นเงินเดือน ขึ้นค่าแรง 52.03% อันดับ 2 คือการปราบปรามการทุจริต การรับสินบน 47.38% อันดับ 3 คือ การพัฒนาระบบสาธารณสุข ดูแลสุขภาพประชาชน 43.02% อันดับ 4 คือ ปฏิรูปการศึกษาไทย 38.95% และอันดับ 5 กระตุ้นเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน 36.05%
สรุปข่าวต่างประเทศ
เรื่องที่ 2,935 นายเอส. ไจแชนการ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเปิดเผยว่า อินเดียพร้อมที่จะตรวจสอบข้อมูลเฉพาะจากแคนาดา กรณีการสังหารนายฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์ ผู้นำชาวซิกข์ ในแคนาดาเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศปะทุขึ้น หลังจากแคนาดาเผยว่า รัฐบาลอินเดียอาจอยู่เบื้องหลังเหตุสังหารครั้งนี้ ขณะที่ อินเดียปฏิเสธข้อกล่าวหาของแคนาดา พร้อมกล่าวว่าเป็นเรื่องเหลวไหล
นายไจแชนการ์ระบุว่า รัฐบาลอินเดียเต็มใจที่จะสอบสวนข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมครั้งนี้ พร้อมยืนกรานว่า อินเดียไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีดังกล่าว โดยนายไจแชนการ์ระบุ ระหว่างงานอีเวนต์ในกรุงนิวยอร์ก ก่อนขึ้นกล่าวที่การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันอังคาร (26 ก.ย.) ที่ผ่านมา
“ประการแรก เราบอกกับแคนาดาแล้วว่า การสังหารนอกกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลอินเดีย” นายไจแชนการ์กล่าว พร้อมระบุต่อว่า “ประการที่สอง เราได้บอกกับแคนาดาว่า หากคุณมีข้อมูลบางอย่างที่เฉพาะเจาะจง หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โปรดแจ้งให้เราทราบได้เลย เรายินดีที่จะตรวจสอบ”
นายนิจจาร์ ถูกยิงเสียชีวิตนอกวัดในรัฐบริติชโคลัมเบียของประเทศแคนาดาเมื่อเดือนมิ.ย. โดยเมื่อปี 2563 ทางการอินเดียได้ประกาศให้นายนิจจาร์เป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่กลุ่มผู้สนับสนุนของนายนิจจาร์คัดค้านอย่างหนัก
เรื่องที่ 2,936 หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ รายงานว่าโดยอ้างแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมของแคนาดาและอินเดีย ว่า การส่งออกถั่วเลนทิลของแคนาดาไปยังอินเดียชะลอตัวลง นับตั้งแต่ที่นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ได้ออกมากล่าวหาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า อินเดียอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารผู้นำชาวซิกข์ในแคนาดา ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลว่าอินเดียอาจตอบโต้ด้วยข้อจำกัดทางการค้า
การที่อินเดียซื้อถั่วเลนทิลลดลงนั้น อาจส่งผลให้รายได้เกษตรกรชาวแคนาดาลดลง แต่ก็อาจทำให้ราคาอาหารภายในประเทศพุ่งสูงขึ้นเช่น ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งระดับชาติในปีหน้า
นายนิติน คุปตา รองประธานอาวุโสของบริษัทโอลัม อากริ อินเดีย ผู้นำเข้ารายใหญ่ของอินเดีย กล่าวว่า “เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมกังวลว่า รัฐบาลอินเดียอาจบังคับใช้ข้อจำกัดทางการค้า อันเนื่องมาจากความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศ”
เรื่องที่ 2,937 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ (IFR) ระบุว่า จีนติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมมากเป็นประวัติการณ์ที่ 290,258 ตัวในปี 2565 เพิ่มขึ้น 5% จากปี 2564
IFR ระบุว่า จีนซึ่งเป็นตลาดหุ่นยนต์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก รายงานจำนวนการติดตั้งรายปีมากที่สุดในโลก ซึ่งมากกว่าประเทศอื่นที่อยู่ในบัญชีรายชื่อเดียวกันเป็นอย่างมาก โดยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นล่าสุดนี้มีความโดดเด่น เนื่องจากแซงหน้ายอดติดตั้งในปี 2564 ซึ่งเพิ่มขึ้น 57% เมื่อเทียบกับปี 2563
ทั้งนี้ นอกจากจีนแล้ว กลุ่มประเทศในอันดับรองลงมาในบัญชีรายชื่อดังกล่าว ได้แก่ ญี่ปุ่น, สหรัฐ, เกาหลีใต้ และเยอรมนี
เรื่องที่ 2,938 นายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียได้ลงนามบังคับใช้กฎหมายการเรียกเก็บภาษีอาวุธปืนขนาดเล็กและกระสุนปืน โดยแคลิฟอร์เนียถือเป็นรัฐแรกในสหรัฐที่บังคับใช้กฎหมายดังกล่าว โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันความรุนแรงจากอาวุธปืนภายในโรงเรียนและสถานที่อื่น ๆ โดยคาดว่ากฎหมายการเรียกเก็บภาษีอาวุธปืนจะช่วยให้รัฐแคลิฟอร์เนียระดมเงินได้ถึง 160 ล้านดอลลาร์ต่อปี
ภาษีอาวุธปืนของรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ค. 2567 นั้น เป็นภาษีที่เรียกเก็บนอกเหนือไปจากค่าธรรมเนียม 11% ที่รัฐบาลกลางสหรัฐเรียกเก็บอยู่ก่อนแล้วจากผู้ครอบครองอาวุธปืนและกระสุนปืน โดยอัตราภาษีจะอยู่ระหว่าง 10-11% ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดของอาวุธปืน
ในเดือนมิ.ย. 2565 สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 223 ต่อ 204 เสียง ผ่านกฎหมาย “Protecting Our Kids Act” ซึ่งกำหนดว่าผู้ที่มีสิทธิ์ซื้ออาวุธปืนจะต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ที่ 18 ปี นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวยังห้ามไม่ให้จำหน่ายปืนแม็กกาซีนที่บรรจุกระสุนได้จำนวนมาก และกำหนดกฎข้อบังคับใหม่เกี่ยวกับการเก็บปืนไว้ที่บ้านอย่างเหมาะสม
เรื่องที่ 2,939 สำนักงานกำกับดูแลความปลอดภัยทางอาหารของรัสเซีย (Rosselkhoznadzor) ระบุว่า รัสเซียกำลังพิจารณาที่จะดำเนินการตามจีนในการสั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเล หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วออกจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิจิ ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกในวันพฤหัสบดีที่ 24 ส.ค. และวางแผนที่จะหารือเรื่องดังกล่าวกับญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเผชิญกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากจีน หลังปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีลงสู่ทะเลในเดือนที่ผ่านมา โดยจีนได้ตอบโต้การดำเนินการดังกล่าวด้วยการสั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลทั้งหมดจากญี่ปุ่น
สำนักงานกำกับดูแลความปลอดภัยทางอาหารของรัสเซียระบุว่า รัสเซียได้หารือเรื่องการส่งออกอาหารญี่ปุ่นกับจีน โดยรัสเซียเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์อาหารทะเลรายใหญ่ที่สุดของจีนและกำลังพยายามเพิ่มส่วนแบ่งตลาด
“เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงเรื่องการปนเปื้อนกัมมันตรังสีในอาหารแล้ว สำนักงานกำกับดูแลความปลอดภัยทางอาหารของรัสเซียจึงพิจารณาที่จะจำกัดการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากปลาของญี่ปุ่นเช่นเดียวกับจีน”
เรื่องที่ 2,940 เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเจพีมอร์แกนกล่าวว่า อินเดียอาจติด 1 ใน 3 ของตลาดที่โตเร็วที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปีหน้า ควบคู่ไปกับออสเตรเลียและญี่ปุ่น
นายฟิลิปโป โกริ ซีอีโอของเจพีมอร์แกนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ ว่า “ผู้คนเริ่มรู้สึกตื่นเต้นกับนโยบายจีนบวกหนึ่ง (China-plus-one) และขณะที่ประเทศต่าง ๆ ได้รับประโยชน์ อินเดียก็อาจเป็นผู้รับผลประโยชน์รายใหญ่ที่สุด” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ต้องการสร้างความหลากหลายด้านห่วงโซ่อุปทาน นอกเหนือจากจีน
นายโกริกล่าวเสริมว่า นั่นเป็นเพราะอินเดียมีตลาดขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับห่วงโซ่อุปทานซึ่งบริษัทจำนวนมากทั่วโลกต้องการ
บริษัทระดับโลกอย่าง แอปเปิ้ล อิงค์ ได้เพิ่มการผลิตในอินเดีย ขณะที่บริษัทอื่น ๆ เช่น เทสลา กำลังหารือกับรัฐบาลอินเดียเพื่อเริ่มการผลิตในประเทศด้วย
รายงานระบุว่า เศรษฐกิจอินเดียซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชียจะเติบโต 6.5% ในปีงบประมาณที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 ซึ่งเร็วที่สุดในบรรดาประเทศเศรษฐกิจรายใหญ่ และกำลังพยายามดึงดูดบริษัทระดับโลกด้วยข้อเสนอด้านภาษีและมาตรการจูงใจอื่น ๆ
โดยนพวัชร์