ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 28-29 ส.ค. 2566
เมื่อไม่นานมานี้ มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) ร่วมกับดีโหวต (D-vote)
เรื่องที่ 2,763 เมื่อไม่นานมานี้ มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) ร่วมกับดีโหวต (D-vote) เปิดเผยผลการวัดคะแนนนิยมหลังจากการเลือกตั้งเพื่อประเมินความพึงพอใจและการตอบสนองความคาดหวังของประชาชนจากแต่ละพรรคการเมืองภายหลังได้รับเสียงเลือกจากประชาชาชนไปแล้ว ในประเด็นที่ว่า “หากมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งในวันนี้ คุณจะเลือกพรรคใด”
ที่น่าตกใจคือ พรรคก้าวไกล คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 62.39 ตามด้วย พรรคภูมิใจไทย คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.50 พรรครวมไทยสร้างชาติ คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 0.84 พรรคพลังประชารัฐ คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 6.02 พรรคประชาธิปัตย์ คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 9.96 ขณะที่ พรรคเพื่อไทย คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 62.24
โดยการที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงของคะแนนนิยมเฉลี่ยมากที่สุดนั้น เกิดจากการที่ได้มีโอกาสสลับกันเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและเป็นที่สนใจของประชาชนจำนวนมาก โดยคะแนนนิยมที่ลดลงของพรรคเพื่อไทยร้อยละ 51.32 ได้ไหลไปหาพรรคก้าวไกล ในขณะที่ร้อยละ 10.92 ได้ไหลไปหาพรรคอื่น ๆ
เมื่อถามว่า “คุณคิดว่าการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วที่นำโดยพรรคเพื่อไทยเกิดจากความตั้งใจตั้งแต่แรกหรือไม่?” (514 ตัวอย่าง ค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 93.0) ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 58.79 ระบุว่า “เกิดจากความตั้งใจตั้งแต่แรก เป็นการวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วระหว่างเพื่อไทยและขั้วรัฐบาลเดิม” ร้อยละ 25.20 ระบุว่า “ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจตั้งแต่แรก เมื่อการจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคถึงทางตัน จึงต้องปรับแผนด้วยการข้ามขั้ว” และร้อยละ 16.02 ระบุว่า “ไม่รู้/ไม่แน่ใจ”
สำหรับผู้ตอบว่าเกิดจากความตั้งใจแต่แรกถึงเหตุผลที่คิดว่าเหตุใดพรรคเพื่อไทยจึงตั้งใจวางแผนจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วนั้น ร้อยละ 36.52% ระบุว่า “เพราะคิดว่าการให้ก้าวไกลร่วมรัฐบาลและได้มีโอกาสทำผลงาน จะส่งผลเสียต่อความนิยมของเพื่อไทยในอนาคต” ร้อยละ 28.52 ระบุว่า “เพราะคิดว่าการมีก้าวไกล ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลไม่มีทางสำเร็จ” ร้อยละ 22.07% ระบุว่า “เพราะคิดว่าการมีก้าวไกล ถึงจะตั้งรัฐบาลสำเร็จ แต่ไม่นานก็ถูกกลุ่มอำนาจเก่าล้มอยู่ดี” และร้อยละ 12.89 ระบุว่า “ไม่รู้/ไม่แน่ใจ”
เรื่องที่ 2,764 ยังคงฝุ่นตลบไม่เลิกสำหรับกระทรวงอุตสาหกรรม กับโผของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ (รมว.) กระทรวง ซึ่งเวลานี้เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรีอยู่ก็ไม่ปาน เพราะชื่อของ รมว. ยังคงไม่นิ่งเสียที มีเปลี่ยนเข้าเปลี่ยนออกอยู่ตลอด
ไล่มาตี้งแต่คนแรกที่ถูกคาดหมายว่าจะขึ้นแท่นรับตำแหน่งก็คือหม่อมปืน “ม.ล.ชโยทิต กฤดากร” ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งสื่อหลายสำนักได้นำเสนอประวัติของหม่อมปืนไปเป็นที่เรียบร้อยเพราะคิดว่ามาแน่นอน
แต่สุดท้ายชื่อก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งมาเป็น “พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ” ช่วงเช้าของวันนี้ (28 ส.ค.) ที่สื่อหลายสำนักพร้อมใจกันรายงาน อย่างไรก็ดี คำว่าแต่ก็ต้องมาอีกครั้ง เมื่อข่าวล่ามาไวระบุออกมาอีกว่า มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว
สำหรับชื่อล่าสุดที่ปรากฎก็คือ “ปุ้ย” น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช ส่วนข่าวลึกว่าทำไมทั้ง 2 ชื่อถึงถูกเปลี่ยนแปลง บก.ชวนคุยสืบทราบว่ามาเป็นการปฏิเสธถอนตัวไม่รับเก้าอี้ทั้งคู่
งานนี้ไม่รู้ว่าเพราะเกรดของกระทรวงที่ตกลงไป ถึงไม่มีใครอยากมา หรือในพรรค รทสช.ถกกันไม่ลงตัว และสุดท้ายชื่อของ”พิมพ์ภัทรา”จะได้เป็น รมว.อุตสาหกรรมหรือไม่ คงต้องมาติดตามกันดูละครับผม
เรื่องที่ 2,765 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 35.26 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจาก ช่วงเช้าที่ระดับ 35.16 บาท/ดอลลาร์
ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 35.08-35.28 บาท/ดอลลาร์ โดยเย็นนี้เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าจากเปิดตลาดในช่วง เช้า และเป็นการอ่อนค่าสุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งคาดว่าเป็นผลจาก flow ของภาคธุรกิจ
“เงินบาทบ้านเราอ่อนค่าสุดในภูมิภาค แต่ไม่ได้มีปัจจัยอะไรสำคัญ คาดว่าน่าจะเป็น flow ของภาคธุรกิจเอง เพราะค่าเงิน อื่นๆ ในภูมิภาคก็อ่อนค่าไม่มาก” นักบริหารเงินระบุ
ช่วงนี้ นอกจากตลาดจะรอดูโฉมหน้ารัฐบาลใหม่แล้ว ยังรอดูนโยบายที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไป เนื่องจากที่ ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจไทยออกมาค่อนข้างเป็นที่ผิดหวัง โดยเฉพาะจีดีพี ไตรมาส 2/66 โดยตลาดรอดูนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทว่าจะออกมาเป็นรูปธรรมอย่างไร เพราะกังวลว่าต้องใช้เม็ดเงินค่อนข้างมาก
และคาดว่าเงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่า โดยวันที่ 29 ส.ค.จะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.15-35.35 บาท/ดอลลาร์
สรุปข่าวต่างประเทศ
เรื่องที่ 2,766 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (27 ส.ค.) สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงกล่าวถึงการเสด็จเยือนมองโกเลียในช่วงปลายสัปดาห์นี้ว่า เป็นโอกาสดีที่จะได้พบปะกับ “ประชาชนผู้ประเสริฐและเฉลียวฉลาด” ซึ่งจะเป็นการเดินทางเยือนมองโกเลียเป็นครั้งแรกของสมเด็จพระสันตะปาปา
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงกล่าวต่อสาธารณชน ณ จัตุรัสหน้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ว่า การเดินทางครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการต้อนรับชุมชนคาทอลิกในมองโกเลีย โดยอธิบายว่าโบสถ์ในมองโกเลียมีจำนวนไม่มาก แต่เปี่ยมด้วยศรัทธาและความทุ่มเทในด้านการกุศล” การเดินทางครั้งนี้ยังเป็นโอกาสที่จะได้พบปะใกล้ชิดกับผู้ประเสริฐและเฉลียวฉลาด”
สำนักข่าวเอพีระบุว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมีกำหนดออกเดินทางในวันพฤหัสบดี (31 ส.ค.) และเดินทางกลับกรุงโรมในอีก 4 วันให้หลัง โดยในมองโกเลีย มีชาวคาทอลิกไม่ถึง 1,500 ราย ขณะที่มีประชากรในประเทศประมาณ 3.2 ล้านราย
ทั้งนี้ ชาวมองโกเลียส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
เรื่องที่ 2,767 นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนประกาศในวันนี้ (28 ส.ค.) ว่า จีนจะไม่บังคับให้นักเดินทางขาเข้าแสดงหลักฐานการตรวจโควิด-19 ที่เป็นลบอีกต่อไป โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพุธที่ 30 ส.ค.เป็นต้นไป
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า การยกเลิกมาตรการแสดงผลตรวจโควิด-19 ครั้งนี้จะถือเป็นก้าวสำคัญในการยุติมาตรการจำกัดที่เกี่ยวกับโควิด-19 ที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2563
ทั้งนี้ จีนได้ยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์เมื่อเดือนธ.ค. 2565 หลังจากที่บังคับใช้มาตรการดังกล่าวอย่างเข้มงวดมาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งบางครั้งต้องปิดเมืองอย่างเต็มรูปแบบและกักตัวผู้ติดเชื้อเป็นเวลานาน ส่งผลให้นักเดินทางขาเข้าจำเป็นต้องกักตัวอยู่ในโรงแรมที่รัฐบาลกำหนดเป็นเวลาหลายสัปดาห์
เรื่องที่ 2,768 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเตือนพลเมืองชาวญี่ปุ่นให้ใช้ความระมัดระวังเมื่อเดินทางไปยังประเทศจีน หลังจากมีรายงานว่าชาวญี่ปุ่นถูกคุกคามในจีน เพื่อตอบโต้กรณีที่ญี่ปุ่นปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ลงสู่ทะเลเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (24 ส.ค.)
กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ว่า พลเมืองญี่ปุ่นที่เดินทางเยือนจีนหรืออาศัยอยู่ในจีนควรหลีกเลี่ยงการพูดภาษาญี่ปุ่นเสียงดัง และโปรดระมัดระวังภัยรอบตัวหากเดินทางไปยังสถานทูตหรือสถานกงสุล พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนอยู่ห่างจากการประท้วงต่อต้านการปล่อยน้ำที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ และหลีกเลี่ยงการถ่ายรูปเหตุการณ์ดังกล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นยังแนะนำให้ผู้ที่เดินทางไปจีนแจ้งแผนการเดินทางและข้อมูลการติดต่อกับเพื่อน ครอบครัว และนายจ้างในญี่ปุ่นไว้เช่นกัน
เรื่องที่ 2,769 นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเปิดเผยว่า มาเลเซียจะสร้าง “เขตการเงินพิเศษ (special financial zone)” ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่มูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ของบริษัทคันทรี การ์เดน (Country Garden) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงิน พร้อมทั้งเสนอนโยบายต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุน
โครงการฟอเรสต์ ซิตี (Forest City) มูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ของบริษัทคันทรี การ์เดนนั้น จะสร้างขึ้นครอบคลุมพื้นที่เกาะ 4 แห่งในรัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย ติดกับประเทศสิงคโปร์ โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับประชาชนจำนวน 700,000 คนภายในปี 2578 ซึ่งรวมถึงบ้าน, อาคาร, สำนักงาน, ห้างสรรพสินค้า, โรงเรียน และอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น ๆ
นายอันวาร์กล่าวว่า นโยบายสร้างจูงใจที่รัฐบาลมาเลเซียเสนอให้แก่โครงการฟอเรสต์ ซิตีนั้น ได้แก่ ภาษีเงินได้ในอัตราพิเศษ 15% สำหรับแรงงานที่มีฝีมือ และการออกวีซ่าแบบเข้าออกประเทศหลายครั้ง ขณะที่สำนักข่าวเบอร์นามาของมาเลเซียระบุว่า “เขตการเงินพิเศษ” จะช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจ
ทั้งนี้ การเสนอแรงจูงใจดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่คันทรี การ์เดน กำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงิน ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้อีก
โครงการฟอเรสต์ ซิตี เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของคันทรี การ์เดน และเป็นการร่วมทุนกับบริษัทเอสพลานาด แดงกา 88 (Esplanade Danga 88) ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนของมาเลเซียที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลยะโฮร์ และสุลต่านแห่งรัฐยะโฮร์
เมื่อต้นเดือนส.ค. บริษัทคันทรี การ์เดน ผิดนัดชำระหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้จำนวน 2 ชุด คิดเป็นมูลค่ารวม 22.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ตลาดวิตกกังวลว่า วิกฤตการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนอาจจะลุกลามไปยังภาคการเงินและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง
โดยนพวัชร์