ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 10-11 ส.ค. 2566
ขณะนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีพรรคร่วมรัฐบาล
เรื่องที่ 2,664 ขณะนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีพรรคร่วมรัฐบาล ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคท้องที่ไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา รวมทั้งหมดนี้ได้ 238 เสียง ยังไม่ต้องพูดถึงรัฐสภา เอาแค่เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ก็ยังไม่ถึง
จับตาการเดินเกมของพรรคเพื่อไทยในวัน 2 วันนี้ จะมีความพยายามเปิดตัวพรรคลุง คือพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมกันจัดตั้งรัฐบาล
โดยล่าสุดพรรคพลังประชารัฐ ประกาศแล้วว่า พร้อมยกมือโหวตให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ส่วนการร่วมรัฐบาลนั้น ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน
การเดินเกมของพรรคเพื่อไทยในเวลานี้ เรียกว่ายุทธศาสตร์การสลายขั้วสลายกลุ่มการเมือง ยอมจับมือกับขั้วที่เคยเป็นคู่ขัดแย้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งการจัดตั้งรัฐบาล
เหมือนดั่ง ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่บอกว่า ครั้งนี้พรรคเพื่อไทย มีต้นทุนที่สูง พรรคเพื่อไทย จึงพร้อมรับมือชอบต่อผลที่จะตามมา
ต้นทุนที่ “ภูมิธรรม” หมายถึง น่าเป็นการยอมรับว่านับจากนี้ไป ความนิยมของประชาชนต่อพรรคเพื่อไทย จะไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน
เรื่องที่ 2,665 เห็นผลประกอบการของบริษัททางด้านพลังงานในไตรามาส 2/66 แล้วต้องบอกว่าสามัคคีกลมเกลียวกันดีเหลือเกิน เพราะกอดคอกันกำไรหดหาย ไล่มาตั้งแต่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ซึ่ง”บัณฑิต ธรรมประจำจิต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ระบุว่า ไตรมาส 2/66 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 1,117 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1/2566
โดย”บัณฑิต” บอกว่ามีปัจจัยมาจากจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันปิโตรเลียมเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ปรับตัวลดลง หลังจากอุปทานน้ำมันจากประเทศรัสเซียยังคงมีการซื้อขายในตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2/66 ปรับตัวลดลง เนื่องจากอุปสงค์มีแนวโน้มชะลอตัว จากความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอยภายหลังการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
นี่ก็ไม่น้อยหน้ากันสำหรับบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ที่”นิวัติ อดิเรก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บอกว่า ผลการดำเนินงานบริษัทฯ ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 183 ล้านบาท เติบโต 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2566 จากรายได้ของธุรกิจคลังน้ำมันในประเทศไทยที่เริ่มรับรู้ในเดือนมิถุนายน และรายได้ที่เพิ่มขึ้นของ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ใน สปป. ลาว
ตัวเลขที่แานตอนแรกเหมือนจะสวยหรู แต่อย่าเพิ่งดีใจไปเพราะเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลงถึง 67% เนื่องจากการรับรู้รายได้ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาวลดลง จากการหยุดผลิตไฟฟ้าเพื่อเตรียมการขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Vietnam Electricity – EVN) ตั้งแต่ปลายปี 2565 และได้กลับมาผลิตไฟฟ้าเพื่อเริ่มส่งขายให้แก่ EVN ในครึ่งหลังของเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
แถมให้หนึ่งแห่งนั่นก็คือ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC ซึ่ง “กฤษณ์ อิ่มแสง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บอกว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 เทียบกับไตรมาส 1/66 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 70,755 ล้านบาท ลดลง 5,005 ล้านบาท หรือ 7% สาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยลดลง 6% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง และปริมาณขายลดลง 1% โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 4,168 ล้านบาท หรือ 6.81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 41% เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล
สรุปข่าวต่างประเทศ
เรื่องที่ 2,666 ผู้โชคดีรายหนึ่งในสหรัฐชนะรางวัลแจ็คพอตของลอตเตอรี่ “เมกา มิลเลียนส์” (Mega Millions) มูลค่า 1.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาตร์ของ เมกา มิลเลียนส์ โดยผู้โชคดีดังกล่าวซื้อสลากลอตเตอรี่ในฟลอริดา และถูกรางวัลหมายเลข 6 ชุดแบบตรง ๆ
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เทรเชอร์ โคสต์ รายงานว่า ผู้โชคดีรายนี้ได้ซื้อสลากลอตเตอรี่มาจากซูเปอร์มาร์เกตพับบลิกซ์ ในเมืองเนปจูนบีช เมืองชายฝั่งทางตะวันออกของรัฐฟลอริดา
ทั้งนี้ ผู้โชคดีรายดังกล่าวถูกรางวัลแจ็คพอตในการประกาศรางวัลงวดวันอังคาร (8 ส.ค.) ซึ่งก็คือเลข 13 19 20 32 33 โดยโอกาสที่จะถูกรางวัลนั้นอยู่ที่ 1 ใน 302.6 ล้าน นอกจากนี้ยังถูกรางวัลเมกาไพลเออร์ (Megaplier) ซึ่งออกเลข 14 โดยรางวัลนี้เป็นตัวเลือกเสริมที่จะช่วยเพิ่มเงินรางวัล
ผู้โชคดีมีทางเลือกรับรางวัล 2 แบบ คือ รับเงิน 1.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แบบผ่อนจ่ายเป็นรายปี หรือรับเป็นเงินก้อน ซึ่งรางวัลจะลดลงเหลือ 783.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อนึ่ง เงินรางวัลแจ็ตพอตของลอตเตอรี่ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ คือรางวัลแจ็คพอตของพาวเวอร์บอล (Powerball) งวดเดือนพ.ย.2565 ซึ่งมีมูลค่า 2.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เรื่องที่ 2,667 กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น รายงานราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเฉลี่ยในญี่ปุ่นสูงกว่า 180 เยน (ราว 43.91 บาท) เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี
ราคาเฉลี่ยน้ำมันเบนซินธรรมดาของประเทศ เมื่อนับถึงวันที่ 7 ส.ค. เพิ่มขึ้น 3.6 เยน (ราว 0.88 บาท) จากสัปดาห์ก่อน อยู่ที่ 180.3 เยน (ราว 43.98 บาท) ต่อลิตร ซึ่งเพิ่มเป็นสัปดาห์ที่ 12 ติดต่อกัน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การปรับเพิ่มดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น และการที่รัฐบาลญี่ปุ่นทยอยลดขนาดเงินอุดหนุนซึ่งมุ่งลดราคาน้ำมันเบนซิน ตั้งแต่เดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นและกระทบหลายครัวเรือน หากรัฐบาลยุติโครงการเงินอุดหนุนตามแผนภายในสิ้นเดือนก.ย. โดยโครงการนี้ออกแบบมาเพื่อควบคุมผลกระทบของราคาน้ำมันเบนซินและเชื้อเพลิงอื่นๆ ที่พุ่งสูงขึ้น
เรื่องที่ 2,668 รัฐบาลอินโดนีเซีย ปิดกั้นการเข้าถึงสื่อการพนันออนไลน์ต่าง ๆ รวม 886,719 รายการ ในช่วงระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่เดือนก.ค. 2561 ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าแทนที่จะแบนเว็บไซต์เหล่านั้น การออกกฎควบคุมสื่อดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
“บูดี อารีเยอ เซอตียาดี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศ กล่าวเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ว่า “โดยเฉลี่ยแล้ว เราห้ามการเข้าถึงเว็บไซต์ 1,500-2,000 แห่ง และแอปพลิเคชันหลายสิบรายการต่อวัน ซึ่งรวมถึงแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ ในลักษณะเดียวกับฮิกส์ โดมิโน ไอแลนด์ (Higgs Domino Island)”
แชนแนลนิวส์เอเชียรายงานว่า Higgs Domino Island เป็นหนึ่งในแอปการพนันที่รัฐบาลอินโดนีเซียบล็อกการเข้าถึง ซึ่งแอปนี้ถูกดาวน์โหลดไปแล้วมากกว่า 50 ล้านครั้ง บนกูเกิล เพลย์ สโตร์ (Google Play Store) ทั้งนี้ การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมายในอินโดนีเซีย ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ ทั้งผู้เล่นพนันและผู้จัดให้มีการเล่นพนัน
“เซอตียาดี” กล่าวอีกว่า จนถึง ณ วันที่ 7 ส.ค. สื่อการพนันออนไลน์ถูกบล็อกไปแล้ว 42,622 รายการ นับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.
เรื่องที่ 2,669 จีนอนุญาตให้กรุ๊ปทัวร์จัดทริปเดินทางเยือนกว่า 70 ประเทศและดินแดน หลังสั่งห้ามเป็นเวลาหลายปี เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และตอบโต้ทางการเมือง ส่งผลให้หุ้นกลุ่มการเดินทางและสายการบินในเอเชียพุ่งทะยานขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวจีนระบุเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า กรุ๊ปทัวร์สามารถกลับมาจัดทริปเดินทางเยือนหลายสิบประเทศและดินแดนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยุโรป แอฟริกา และอเมริกาเหนือได้อีกครั้ง
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า จุดหมายปลายทางสำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ได้รับการอนุญาตในครั้งนี้ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ขณะที่ สหราชอาณาจักร เยอรมนี ฟินแลนด์ และสวีเดน รวมถึงประเทศต่าง ๆ ในตะวันออกกลาง เช่น กาตาร์ โอมาน เลบานอน และอิสราเอลก็ได้รับอนุญาตเช่นเดียวกัน หุ้นกลุ่มสายการบินและการเดินทางของเกาหลีใต้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อข่าวดังกล่าวมากที่สุด โดยหุ้นบริษัททัวร์ สายการบิน และโรงแรมต่างพุ่งทะยานขึ้น
หุ้นลอตเต้ ทัวร์ ดีเวลลอปเมนต์ (Lotte Tour Development) ซึ่งเป็นบริษัททัวร์จากเกาหลีใต้ พุ่งขึ้นกว่า 25% ส่วนหุ้นโฮเทล ชิลลา (Hotel Shilla) ซึ่งเป็นบริษัทโรงแรมหรูจากเกาหลีใต้ พุ่งขึ้น 17%
หุ้นกลุ่มสายการบินของเกาหลีใต้ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเอเชียนา แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 7% และหุ้นโคเรีย แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 3.1%
หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของเกาหลีใต้พุ่งขึ้น แม้สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า พายุไต้ฝุ่นขนุนได้พัดขึ้นฝั่งเกาหลีใต้ในวันนี้ (10 ส.ค.) ทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินกว่า 330 เที่ยว และประชาชน 10,000 รายต้องอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย
รายงานระบุว่า ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่จีนอนุญาตให้กรุ๊ปทัวร์จัดทริปเดินทางเยือนเกาหลีใต้ หลังจากสั่งห้ามจัดทัวร์ลักษณะดังกล่าวในปี 2560 เพื่อตอบโต้ต่อกรณีที่เกาหลีใต้ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในพื้นที่พิกัดสูง (THAAD) ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาโดยสหรัฐ
เรื่องที่ 2,670 สมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศจีน (CAAM) เปิดเผยเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ผลผลิตและยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีนในเดือนก.ค. ลดลง 4.3% และ 3.4% ตามลำดับ เมื่อเทียบเป็นรายปี
รายงานระบุว่า ยอดผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลสูงถึง 2.12 ล้านคันในเดือนที่แล้ว และยอดขายแตะ 2.1 ล้านคัน
ในช่วง 7 เดือนแรก ยอดการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอยู่ที่ 13.4 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 6% จากปีที่แล้ว ขณะที่ ยอดขายเพิ่มขึ้น 6.7% แตะที่ 13.37 ล้านคัน จากปีที่แล้ว
ในเดือนก.ค. การส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น 35.1% แตะที่ 392,000 คัน จากปีก่อนหน้า
ส่วนการส่งออกตั้งแต่เดือนม.ค. – ก.ค. สูงถึง 2.53 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 67.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี
เรื่องที่ 2,671 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนเผชิญกับความระส่ำระสายอีกครั้ง หลังจากมีรายงานว่า บริษัทคันทรี การ์เดน (Country Garden) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอกชนรายใหญ่ที่สุดของจีนเมื่อพิจารณาจากยอดขายนั้น ได้ผิดนัดชำระหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 6 ส.ค.
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ขณะนี้ ตลาดมีความไม่มั่นใจเกี่ยวกับหุ้นกู้ของบริษัทคันทรี การ์เดน ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนก.พ.2569 และเดือนส.ค.2573
สถานการณ์ดังกล่าวไม่ต่างจากเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เมื่อบริษัทเอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของจีน ผิดนัดชำระหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศในช่วง 2 ปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลไปทั่วโลก เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นเสาหลักสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน และมีสัดส่วนผลผลิตทางเศรษฐกิจสูงเกือบ 30%
ราคาหุ้นคันทรี การ์เดนปิดตลาดดิ่งลงกว่า 1.7% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่ทรุดตัวลงอย่างหนักในช่วงต้นสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ ตลาดยังวิตกกังวลมากขึ้นหลังสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวเมื่อวันอังคารว่า “หลิว ไห่โป๋” รองประธานอาวุโสของบริษัทต้าเหลียน ว่านต๋า (Dalian Wanda) ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปสอบสวนในข้อหาทุจริต อย่าไรก็ดี บริษัทต้าเหลียนยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับรายงานข่าวดังกล่าว
โดยนพวัชร์