ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 23-24 ก.ค. 2566
หลังจากได้รับไฟเขียวจากพรรคก้าวไกล ให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
เรื่องที่ 2,569 หลังจากได้รับไฟเขียวจากพรรคก้าวไกล ให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยใช้เวลาเพียง 2 วัน ในการพบปะพูดคุยกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ถึง 5 พรรค ประกอบด้วย พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคชาติไทยพัฒนา
หากดูดีๆจะเห็นว่าทั้ง 5 พรรคที่พรรคเพื่อไทยเชิญมาคุยนั้น ล้วนออกตัวอย่างชัดเจนว่า ไม่เอาพรรคก้าวไกล ไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย หากมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วย และจะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ก็ต่อเมื่อสลัดพรรคก้าวไกลทิ้ง
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า 5 พรรคที่เชิญมาคุยนั้น ไม่มีข้อตกลงการร่วมรัฐบาล เป็นเพียงการปรึกษาหารือถึงหาทางการเดินหน้าประเทศต่อไป
ทว่าเกมนี้ ใครๆก็ดูออกว่า พรรคเพื่อไทย พยายามบีบให้พรรคก้าวไกล ถอยไปเป็นฝ่ายค้าน โดยจะยกข้ออ้างว่า จะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หากยังมีพรรคก้าวไกล อยู่ด้วย
และสุดท้ายพรรคก้าวไกล ก็ต้องถอยไปเป็นฝ่ายค้าน ส่วนพรรคเพื่อไทยจะตั้งรัฐบาลกับขั้วรัฐบาลเดิม การเมืองช่างโหดร้าย
เรื่องที่ 2,570 ได้เห็นภาพการจับมือกันของ 3 องค์กรในประเทศไทยแล้วก็ชื่นใจ เพราะทั้งสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือสวทช. ,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือส.อ.ท. และกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือ กรอ. ต่างพร้อมใจกันร่วมวิจัยและพัฒนาการผลักดันเพิ่มมูลค่ากากอุตสาหกรรมให้เป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่
โดยมีมาตรฐานการควบคุมที่เหมาะสมทั้งในเชิงวิชาการ ความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการสิ้นสุดการเป็นของเสีย (End of Waste) ต่อยอดงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ได้จริงและพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ เพราะปัญหาเรื่องของขยะนั้น บก.ชวนคุยมองว่านับวันจะยิ่งมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะขยะอุตสาหกรรม หากไม่มีการดำจัดอย่างถูกวิธีก็จะทำลายทั้งสุขภาพของคนและสิ่งแวดล้อม
งานนี้ สวทช.ก็มีทีมนักวิจัยได้สั่งสมประสบการณ์การทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนมาเป็นระยะเวลานาน ทั้งการวิจัยการเพิ่มมูลค่ากากของเสียในภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร ส่วน กรอ. เองก็มีนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ให้ความสำคัญในการยกระดับภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชน
ขณะที่ ส.อ.ท.ซึ่งมีพี่ไก่ “เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธาน ส.อ.ท. เป็นตัวแทนของภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่เป็นทั้งอุตสาหกรรมผู้ก่อกำเนิดของเสีย (waste generator) อุตสาหกรรมรับขนส่งของเสีย (waste transporter) และอุตสาหกรรมผู้รับบำบัด กำจัดของเสีย ก็เน้นย้ำว่าจะให้ความสำคัญในการนำแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนมากำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงาน
เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมารวมตัว ดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน เชื่อว่างานนี้ก็น่าจะสัมฤทธิ์ไปได้ด้วยดีจริงไหมขอรับเจ้านาบ
เรื่องที่ 2,571 อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV) ปัจจุบันตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของบ้านเรา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมีมากถึง 31,738 คัน หรือ มากกว่าถึง 3 เท่าของจำนวนทั้งหมดในปี 65 รายงานของ China Association of Automobile Manufacturers (CAAM) พบว่า ไทยถือเป็น 1 ใน 3 ประเทศ ผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมากที่สุด เนื่องจากผู้บริโภคมีความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีรูปแบบใหม่มากขึ้น ประกอบกับภาครัฐได้มีการออกมาตรการสนับสนุนให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับผู้บริโภค รวมถึงมีมาตรการจูงใจให้นักลงทุนสามารถขยายธุรกิจ และใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนในภูมิภาค
เรื่องที่ 2,572 ล่าสุด ธปท.ก็ออกมาระบุว่า มีลูกหนี้เรื้อรังที่ต้องได้รับการแก้ไขมีอยู่ 5 แสนบัญชี หากจะหลุดพ้นบ่วงกรรม มีวิธีเดียคือ เข้าร่วมมาตรการแก้หนี้กับ ธปท. แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ หรือเสี่ยงดวง ซื้อหวย ซื้อสลากก็ไม่ว่ากัน แต่จะพ้นหลุดหรือไม่ อยู่ที่บุญและผลกรรม บวกด้วยวสนาก็น่าจะรอดได้!!
สำหรับมาตรการแก้ไข เรียนท่านทั้งหลายต้องอ่านทีละคำ หากไม่เข้าใจ ย้อนขึ้นไปอ่านใหม่อีกครั้ง พร้อมทำตัวจนๆ จะได้เข้าใจการเสียทีว่า เวลามีหนี้ มันแก้ยากแค่ไหน
“ยกตัวอย่าง มีวงเงินกู้หมุนเวียน 15,000 บาท จ่ายดอกเบี้ย 25% ต่อปี ชำระขั้นต่ำ 3% ของยอดคงค้าง สมมติว่าไม่เบิกใช้วงเงินเพิ่ม หากไม่เข้าปรับหนี้ภายใต้มาตรการแก้หนี้เรื้อรัง จ่ายชำระ 3% ของยอดคงค้าง ไม่ต่ำกว่า 100 บาท จะปิดหนี้ได้ 18 ปี!! จ่ายดอกเบี้ยรวม 29,000 บาท ถ้าเทียบกับการเข้าปรับหนี้ในมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง จะจ่ายเดือนละ 260 บาท เท่าเดือนก่อนหน้าที่จ่ายมา 5 ปีย้อนหลัง แต่จ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น ซึ่งหากเข้ามาตรการ จะปิดหนี้ใช้เวลา 3 ปี 6 เดือน จะจ่ายดอกเบี้ยอีก 2,500 บาท รวมจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมด 17,500 บาท ประหยัดดอกเบี้ยไป 11,500 บาท”
ถึงตรงนี้ จะพึ่งพากระทรวงการคลังให้คนจนมีรายได้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร ก็คงต้องตามหา รมว.คลัง ให้เจอก่อนนะครับ เพราะตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา ท่านอยู่ ตจว.กับ ธ.ก.ส.หรือกะใครไม่ทราบ เพียงลำพังเข้าร่วมมาตรการ ธปท. ไม่มีมาตรการคลังเลย ลูกหนี้จ่ายหนี้จนตัวตาย ก็ยังไม่หมด!!
สรุปข่าวต่างประเทศ
เรื่องที่ 2,573 สัปดาห์นี้ จะเป็นสัปดาห์ที่คึกคักสำหรับตลาดการเงิน เนื่องจากจะมีการจัดการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางชั้นนำของโลกถึง 3 แห่ง
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมในวันที่ 25-26 ก.ค.
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะจัดการประชุมในวันที่ 27 ก.ค.
ปิดท้ายด้วยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จัดการประชุมวันที่ 27-28 ก.ค.
นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และให้น้ำหนักเพียง 0.2% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% แต่ตลาดมองว่าเฟดใกล้ยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว
ขณะที่ ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในวันที่ 27 ก.ค. ซึ่งอาจเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งสุดท้ายในปีนี้ หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 8 ครั้งติดต่อกัน
และ BOJ ญี่ปุ่นเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานพุ่งขึ้น 3.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าเป้าหมายของ BOJ ที่ระดับ 2% เป็นเดือนที่ 15 ติดต่อกัน ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่า BOJ อาจปรับนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้
เรื่องที่ 2,574 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลจีนเตรียมฟื้นคืนนโยบายเดินทางปลอดวีซ่า 15 วันสำหรับพลเมืองสิงคโปร์และบรูไน ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค. เป็นต้นไป หลังยุตินโยบายดังกล่าวไปนานกว่า 3 ปีเนื่องจากการระบาดของโควิด-19
สถานทูตจีนประจำสิงคโปร์และบรูไน เปิดเผยผ่านแถลงการณ์บนเว็บไซต์วันนี้ (23 ก.ค.) ว่า นโยบายดังกล่าวอนุญาตให้พลเมืองชาวสิงคโปร์และบรูไนที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดา สามารถเข้าประเทศจีนเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ การท่องเที่ยว เยี่ยมครอบครัว และเดินทางผ่านได้
ทั้งนี้ จีนได้ยกเลิกนโยบายคุมเข้มโควิด-19 ไปตั้งแต่เดือนธ.ค. แต่เพิ่งจะกลับมาออกวีซ่าท่องเที่ยวอีกครั้งในเดือนมี.ค.
เรื่องที่ 2,575 รัฐบาลมาเลเซียสั่งยุติงานเทศกาลดนตรีในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังจาก นักร้องนำวง The 1975 ซึ่งเป็นวงป็อปร็อกจากอังกฤษได้จูบเพื่อนร่วมวงเพศเดียวกันบนเวที และวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายของมาเลเซียในการต่อต้านกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT)
“จะไม่มีการประนีประนอมกับฝ่ายใดก็ตามที่ท้าทาย ดูหมิ่น และละเมิดกฎหมายของมาเลเซีย” นายฟาห์มี ฟัดซิล รัฐมนตรีกระทรวงการสื่อสารโพสต์บนทวิตเตอร์ หลังจากประชุมกับผู้จัดเทศกาล Good Vibes Festival ซึ่งเป็นกิจกรรม 3 วันที่มีกำหนดจัดจนถึงวันอาทิตย์นี้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คณะกรรมการของรัฐบาลที่ดูแลการถ่ายทำและการแสดงของชาวต่างชาติกล่าวว่า วง The 1975 ยังถูกห้ามไม่ให้ทำการแสดงในมาเลเซียอีกด้วย
ประเด็นเรื่องรักร่วมเพศนับเป็นอาชญากรรมในมาเลเซียที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้เตือนถึงการไม่ยอมรับที่เพิ่มขึ้นต่อเลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล และคนข้ามเพศ
โดยนพวัชร์