ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 3-4 ก.ค. 2566
เมื่อไม่ได้ตำแหน่งประธานสภา ก็ไม่มีอะไรจะรับประกัน
เรื่องที่ 2,349 เมื่อไม่ได้ตำแหน่งประธานสภา ก็ไม่มีอะไรจะรับประกันว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
เพราะตำแหน่งประธานสภานั้น มีส่วนสำคัญ ในการกำหนดวาระประชุม และอย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าการโหวตนายกในกลางเดือนนี้ จะมีความยุ่งยากเกิดขึ้น เพราะสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ส่วนใหญ่จะไม่โหวตให้พิธา นั่นจึงทำให้เสียงไม่พอ
แต่ถ้าหากได้ประธานสภาที่เป็นของพรรคก้าวไกล ก็จะเอื้อให้เกิดการโหวตบ่อยครั้งขึ้น จนไม่แน่ว่า ส.ว.บางส่วน อาจใจอ่อน เปลี่ยนใจโหวตให้พิธา เป็นนายกฯก็เป็นได้ เพราะไม่อาจต้านเสียงวิจารณ์ของประชาชน
แต่เมื่อพรรคก้าวไกล ไม่ได้ตำแหน่งนี้มาครอง ก็เดาได้เลยว่าอนาคตของพิธานั้น ก้าวเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลยากขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
เพราะนอกจากจะต้องเผชิญกับ ส.ว. ซึ่งเป็นด่านหินแล้ว ยังไม่มีปัจจัยเอื้อให้เกิดการโหวตนายกซ้ำหลายรอบ ด้วยเหตุนี้ จึงจะเห็นว่า แม้พรรคก้าวไกล จะเป็นผู้ชนะในเกมการเลือกตั้ง แต่ก็แพ้ในเกมการเมือง
เรื่องที่ 2,350 เดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเต็มกำลังสำหรับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ซึ่งล่าสุดเพิ่งร่วมมือกับสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล สถาบันวิทยสิริเมธี (BSE- VISTEC) วิจัยพัฒนาชีววิทยาสังเคราะห์ หรือ Synthetic Biology โดยจะนำไปใช้ในธุรกิจในกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Green Business)
ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศ GC ลั่นเลยว่า การดำเนินการดังกล่าว จะเป็นการต่อยอดไปสู่ธุรกิจมูลค่าสูง ที่เป็น Bio-specialty เพิ่มศักยภาพความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG) ตามนโยบายประเทศ เรียกว่าได้ทั้งศักยภาพทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจกไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว
ส่วนใครที่ถือหุ้นบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ (OR) อยู่น่าจะถือไว้ยาวๆเลยนะ เพราะโออาร์เค้ามีการขยายธุรกิจต่อเนื่องอย่างแท้จริง โดยครั้งนี้ก็สบายปีกบินลัดฟ้าไปเพิ่มธุรกิจที่ประเทศกัมพูชา ในรูปแบบร้านสะดวกซัก ภายใต้แบรนด์ชื่อ “อ๊อตเทริ วอชแอนด์ดราย” ซึ่งในประเทศไทยมีกว่า 950 แห่งทั่วประเทศ
“รชา อุทัยจันทร์” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจต่างประเทศ โออาร์ บอกว่า สาขาแรกจะนำร่องในสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น Chbar Ampov ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งบริหารโดย บริษัท ปตท. (กัมพูชา) จำกัด (PTTCL) และมีแผนที่จะขยายเพิ่มเป็น 3 สาขาภายในปี 2566 นี้ ต้องบอกว่าแผนการลงทุนเค้าออกมาเป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ ที่สำคัญเกาะกระแสไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เสียด้วยครับผม
สรุปข่าวต่างประเทศ
เรื่องที่ 2,351 เจ้าหน้าที่ตำรวจกรุงโตเกียวเปิดเผยว่า เกิดเหตุระเบิดและมีควันพวยพุ่งออกมาจากอาคารแห่งหนึ่งในเขตชิมบาชิ กรุงโตเกียว ในวันนี้ (3 ก.ค.) โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจำนวน 3 ราย
ผู้เห็นเหตุการณ์ได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจหน่วยฉุกเฉินเมื่อเวลาประมาณ 15.15 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันนี้นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า แรงระเบิดทำให้มีเปลวเพลิงลุกไหม้ที่ชั้น 2 ของอาคาร 5 ชั้นแห่งนี้ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงได้รุดไปยังที่เกิดเหตุแล้ว
ทั้งนี้ เขตชิมบาชิอยู่ในย่านที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและธุรกิจต่างๆ ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีเจอาร์ ชิมบาบิ ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 300 เมตร
เรื่องที่ 2,352 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า “กริกอรี คาราซิน” หัวหน้าคณะกรรมการระหว่างประเทศในสภาสหพันธ์หรือวุฒิสภารัสเซีย กล่าว เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า รัสเซียได้อพยพเด็กราว 700,000 คนจากเขตความขัดแย้งในยูเครนเข้ามาในรัสเซีย
“คาราซิน” ระบุว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเด็ก 700,000 รายลี้ภัยมาอยู่กับเรา เพื่อหลบหนีจากเหตุระเบิดและกระสุนปืนจากพื้นที่ความขัดแย้งในยูเครน”
รายงานระบุว่า รัสเซียเปิดฉากปฏิบัติการโจมตียูเครนอย่างเต็มรูปแบบเมื่อเดือนก.พ.2565 โดยรัสเซียระบุว่า แผนการนำเด็กจากยูเครนเข้าสู่ดินแดนของรัสเซียเป็นการปกป้องเด็กกำพร้าและเด็กที่ถูกทอดทิ้งในเขตความขัดแย้ง
รายงานระบุว่า การเคลื่อนย้ายผู้คนและเด็กส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 2 – 3 เดือนแรกของสงคราม และก่อนที่ยูเครนจะเริ่มรุกตอบโต้เพื่อยึดคืนพื้นที่ทางภาคตะวันออกและทางตอนใต้ในช่วงปลายเดือนส.ค. 2565
ทั้งนี้ เมื่อเดือนก.ค. 2565 สหรัฐประเมินว่า รัสเซียได้ควบคุมตัวเด็กจำนวน 260,000 ราย ขณะที่กระทรวงการบูรณาการดินแดนที่ถูกยึดครองของยูเครน ระบุว่า ปัจจุบัน เด็กยูเครน 19,492 รายถูกส่งตัวไปรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย
เรื่องที่ 2,353 สำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซีย เผยว่า อัตราเงินเฟ้อของอินโดนีเซียเดือนมิ.ย. ลดลงสู่ระดับ 3.52% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยกลับสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2
รายงานระบุว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2565 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ที่ 3.64% และต่ำกว่าระดับ 4.00% ในเดือนพ.ค.
อัตราเงินเฟ้อของอินโดนีเซียเริ่มลดลงจากระดับสูงสุดในเดือนก.ย. ปีที่แล้วที่ 6% หลังจาก BI ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 2.25% ในช่วงเดือนส.ค. 2565 จนถึงเดือนม.ค. 2566 เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อทั่วไปแตะจุดสูงสุดของกรอบเป้าหมายของ BI ที่ 2% – 4% เร็วกว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ในเดือนพ.ค. และก่อให้เกิดการคาดการณ์ว่า BI อาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไม่ช้า
“พุดจิ อิสมาร์ตินี่” รองหัวหน้าฝ่ายสถิติอินโดนีเซียแถลงต่อสื่อมวลชนว่า ค่าขนส่ง ราคาอาหาร และค่าเช่าเพิ่มขึ้นในเดือนมิ.ย. ขณะที่ ค่าโทรคมนาคมและบริการทางการเงินบางประเภทผ่อน ลดลง
สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารที่รัฐบาลควบคุม ลดลงสู่ระดับ 2.58% ในเดือนมิ.ย. จาก 2.66% ในเดือนก่อนหน้า เมื่อเทียบรายปี ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 2.64%
โดยนพวัชร์