ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 12-13 มิ.ย 2566
ด้อมส้มใจชื้นขึ้นมาทันที เมื่อข่าวสามมิติ ได้เปิดคลิปการประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน)
เรื่องที่ 2,248 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 โดยในคลิปมีการถามว่า บริษัทไอทีวี ยังดำเนินการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่ จึงได้รับคำตอบว่า ไม่ได้มีการดำเนินการเกี่ยวกับสื่อ
โดยข้อมูลดังกล่าว สวนทางกับเอกสารที่ถูกเผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้ ว่ามีบันทึกการประชุมของผู้ถือหุ้นไอทีวี ระบุว่าไอทีวียังดำเนินการเกี่ยวกับสื่ออยู่
เรื่องนี้ทำให้มองเห็นว่าอาจมีกระบวนการปั่นน้ำเป็นตัว เพื่อสกัดกั้นพรรคก้าวไกล และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากมองเป็นการถูกกันแกล้งแล้ว พรรคก้าวไกลก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน
แต่อีกเรื่องที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ หากเทียบเคียงกับคดีของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หุ้นสื่อที่ธนาธรถืออยู่นั้น ก็ไม่ได้ดำเนินการเกี่ยวกับสื่อมวลชนแล้วเช่นกัน มีเพียงตัวบริษัทที่ยังอยู่ แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ฟันธนาธรโดยให้เหตุผลว่า อาจจะกลับมาดำเนินการสื่อเมื่อใดก็ได้
เช่นเดียวกันกับเรื่องหุ้นไอทีวี ที่มีคำสั่งศาลให้หยุดดำเนินกิจการ แต่ทางบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) ยังอยู่ในกระบวนการฟ้องร้อง และมีข่าวว่ามีแนวโน้มที่จะชนะคดีในไม่ช้านี้
ดังนั้น เรื่องนี้คงต้องวัดใจ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ เพราะด้อมส้มเข้าใจหนักขึ้น ว่า พิธา ไม่ผิด ถ้า กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่า ผิด จะเกิดอะไรขึ้น
เรื่องที่ 2,249 ต้องเรียกว่าเป็นการลงทุนที่ต้องตาต้องใจเสียเหลือเกินสำหรับบริษัท อรุณ พลัส จำกัด (Arun Plus) ที่ไปร่วมมือกับContemporary Amperex Technology Co., Ltd (CATL) เพื่อตั้งโรงงานแบตเตอรี่ Cell-To-Pack หรือ CTP ภายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือีอีซี (EEC) จังหวัดชลบุรี ที่สำคัญที่คือเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ขั้นสูงที่นำเซลล์แบตเตอรี่มาประกอบกันเป็นแพ็กโดยตรง ไม่ต้องผ่านขั้นตอนการประกอบเป็นโมดูล
เจ้าเทคโนโลยีดังกล่าวนี้จะทำให้แบตเตอรี่มีประสิทธิภาพความจุพลังงานสูงขึ้น น้ำหนักเบา และมีความปลอดภัยสูง “เอกชัย ยิ้มสกุล” กรรมการผู้จัดการ Arun Plus บอกเลยว่าเป็นการสร้างเชื่อมั่นของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) ของภูมิภาคอาเซียนในอนาคตได้เลยทีเดียว โดยโรงงานดังกล่าวจะพร้อมเดินสายการผลิตภายในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิต 6 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี
อ้อลืมบอกไปเลยว่างบลงทุนครั้งนี้ก้อนโตถึง 3,600 ล้านบาท คราวนี้ล่ะยุทธศาสตร์อีวีไทยคงก้าวหน้าไปอีกขั้นแบบก้าวกระโดดเลยล่ะครับท่านผู้โชมมม
ฝั่งกระทรวงอุตสาหกรรมไม่พลาดที่จะเดินหน้าตามแผนลดก๊าซเรือนกระจก โดยล่าสุด “บรรจง สุกรีฑา” เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. จัดยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันมาตรการส่งเสริม และพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของไทยภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนใน 4 กิจกรรมหลัก ได้แก่ การผลิต การบริโภค การจัดการของเสีย และการนำกลับมาใช้ใหม่
โดยเร่งรัดให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการให้สอดคล้องกับภารกิจและบริบทของแต่ละหน่วยงาน ทั้งในด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และสิทธิประโยชน์ รวมถึงกองทุนต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม ยังไงก็รีบเดินแบบจ้ำอ้าวเลยนะขอรับเจ้านาย จะได้ไม่ตกขบวนของกระแสโลก
เรื่องที่ 2,250 อ่านแล้ว ก็เหี่ยวใจ หลังจากแถลงข่าวของ “ผอ.โป๊ะ-พรชัย ฐีระเวช” ผอ.สศค.ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง หลังปิดหีบยื่นอุทรณ์ของประชาชนที่ไม่ผ่านเกณฑ์เข้าร่วมโครงการบัตรคนจน หรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากจำนวนนับล้านคน ล่าสุดคัดกรองแล้ว ปรากฏว่า มีผู้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติตามที่ขออุทธรณ์แค่ 26,696 ราย (อีกครั้ง 2.6 หมื่นคน) ที่ขาดหายไปนับล้านคนนั้น หมายความว่า อย่างไร!! ยัง ไม่มีคำตอบ แต่หากประเมินตัวเลข ณ เวลานี้ คนที่ไม่ผ่านเกณฑ์แถมอุทรณ์แล้ว ยังไม่ผ่านอีก ก็แสดงว่า มั่วนิ่มใช้หรือเปล่าครับท่าน!!v
สรุปข่าวต่างประเทศ
เรื่องที่ 2,251 นายซิลวีโอ แบร์ลุสโกนี อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี ถึงแก่อสัญกรรมแล้วด้วยวัย 86 ปี ในวันนี้ (12 มิ.ย.) โดยสื่ออิตาลีหลายสำนักรายงานว่า นายแบร์ลุสโกนีเสียชีวิตที่โรงพยาบาลซาน ราฟฟาเอเลในเมืองมิลานของประเทศอิตาลี
รายงานระบุว่า นายแบร์ลุสโกนีล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย (Leukemia) มาสักระยะแล้วและเพิ่งเกิดอาการติดเชื้อในปอดเมื่อไม่นานมานี้
สำนักข่าวบีบีซีและรอยเตอร์รายงานว่า นายแบร์ลุสโกนีเป็นนักธุรกิจมหาเศรษฐีที่สร้างบริษัทสื่อขนาดใหญ่ที่สุดของอิตาลี ก่อนก้าวเข้ามาพลิกโฉมการเมืองของอิตาลี โดยเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอิตาลีเป็นครั้งแรกในปี 2537 และเป็นผู้นำรัฐบาลอิตาลีถึง 4 สมัยด้วยกันจนกระทั่งปี 2554
เรื่องที่ 2,252 พลเรือเอกหญิงลินดา ฟาแกน ผู้บัญชาการหน่วยยามฝั่งสหรัฐ (U.S. Coast Guard) เปิดเผยว่า หน่วยยามฝรั่งสหรัฐวางแผนจะเพิ่มการลาดตระเวนทางทะเลและกิจกรรมการฝึกในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เนื่องจากจีนแผ่อิทธิพลเข้าสู่น่านน้ำในภูมิภาคดังกล่าว
พลเรือเอกหญิงฟาแกน ซึ่งเป็นสตรีคนแรกที่ดำรงตำแหน่งระดับผู้บัญชาการหน่วยงานของกองทัพสหรัฐ ได้เข้าร่วมการประชุมแชงกรีล่า ไดอะล็อก (Shangri-La Dialogue) หรือ SLD ที่สิงคโปร์ในเดือนนี้ ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีที่รวบรวมเจ้าหน้าที่กลาโหมระดับสูงในเอเชีย ซึ่งพลเรือเอกหญิงฟาแกนเข้าร่วมเป็นปีที่สองติดต่อกัน
“อินโด-แปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญต่ออนาคตของอเมริกาอย่างชัดเจน โดยหน่วยยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐมองว่า การเพิ่มบทบาทของหน่วยยามฝั่งสหรัฐเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด ในขณะที่เราพยายามรับประกันว่าภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกจะมีเสรีภาพและเปิดกว้างต่อไป” พลเรือเอกหญิงฟาแกนให้
เรื่องที่ 2,253 สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) เผยแพร่รายงานประจำปีระบุว่า จีนเพิ่มหัวรบนิวเคลียร์อีก 60 ลูก เข้าในคลังสรรพาวุธ ในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนม.ค. 2566 รวมเป็น 410 ลูก พร้อมเสริมว่าการเพิ่มขึ้นดังกล่าวนับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีที่มากที่สุดบรรดากลุ่ม 9 ประเทศติดอาวุธนิวเคลียร์
รายงานของ SIPRI กล่าวว่า 5 ชาติมหาอำนาจ ได้แก่ สหรัฐ, รัสเซีย, จีน, ฝรั่งเศส และอังกฤษ รวมถึงอินเดีย, ปากีสถาน, เกาหลีเหนือ และอิสราเอล มีจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ในครอบครองเพิ่มขึ้น 86 ลูก เป็น 9,576 ลูก ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เนื่องจากมีการปรับปรุงคลังสรรพาวุธให้ทันสมัย
ทั้งนี้ จากจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ 9,576 ลูกนั้น สหรัฐถือครองอยู่ 3,708 ลูก ไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า และรัสเซียเพิ่มจำนวนเป็น 4,489 ลูก จาก 4,477 ลูก โดยคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสองมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ คิดเป็น 86% ของจำนวนทั้งหมดทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม SIPRI ประเมินว่าจำนวนหัวรบนิวเคลียร์โดยรวมของ 9 ประเทศลดลงจาก 12,710 ลูก เหลือ 12,512 ลูก
จีนยังคงรักษานโยบาย “ไม่ยิงอาวุธนิวเคลียร์ก่อน” หรือ “no first use” ซึ่งหมายความว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์เท่านั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมเตือนว่าจีนอาจละทิ้งนโยบายนี้ทันทีที่ปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยแล้ว
เรื่องที่ 2,254 สำนักข่าวรอยเตอร์นำเสนอรายงานฉบับหนึ่ง โดยระบุว่า บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลที่กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ หรือเน็ตซีโร่ (Net Zero) มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปีที่แล้ว แต่ส่วนใหญ่กลับไม่ได้พูดถึงวิธีแก้ไขข้อกังวลหลัก ๆ ในเป้าหมายของตน ทำให้แผนเหล่านี้ “ส่วนใหญ่แล้วไร้ความหมาย” รายงาน “เน็ตซีโร่แทรกเกอร์” (Net Zero Tracker) ทำการประเมินโดยใช้ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ พบว่า ปัจจุบันบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใหญ่ที่สุดในโลกประมาณ 75 แห่งจากทั้งหมด 112 แห่ง ได้ให้คำมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายเน็ตซีโร่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิม 51 แห่งในปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดี รายงานดังกล่าวซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานเอเนอร์จี แอนด์ ไคลเมต อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (Energy and Climate Intelligence Unit) ในสหราชอาณาจักรและมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ระบุว่า เป้าหมายส่วนใหญ่ของบริษัทเหล่านี้ไม่ครอบคลุมหรือขาดความโปร่งใสในเรื่องการปล่อยมลพิษในขอบเขตที่ 3 ซึ่งรวมถึงเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท อันเป็นแหล่งที่มาของการปล่อยมลพิษที่ใหญ่ที่สุดสำหรับบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล หรือไม่ได้ระบุแผนการลดมลพิษระยะสั้น ซึ่งทำให้แผนการเหล่านี้ “ส่วนใหญ่แล้วไร้ความหมาย”
นอกจากนี้ รายงานยังพบว่า ไม่มีบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใดให้คำมั่นว่าจะเลิกสกัดหรือผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลอีกด้วย
อนึ่ง ขณะนี้มีประเทศ, รัฐ, ภูมิภาค, เมือง และบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกรวมกันกว่า 4,000 แห่งได้ให้คำมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายเน็ตซีโร่ โดยในเดือนพ.ย. ปีที่แล้ว สหประชาชาติ (UN) ได้ออกแถลงการณ์ว่ากลยุทธ์เน็ตซีโร่ “ที่ดี” ควรมีลักษณะอย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงการฟอกเขียว
โดยนพวัชร์