ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 8-9 มิ.ย 2566
มีข่าวเกี่ยวกับ ทักษิณ กลับบ้าน
เรื่องที่ 2,232 มีข่าวเกี่ยวกับ ทักษิณ กลับบ้าน โดยมีรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ นัดรับประทานอาหารกับครอบครัว ซึ่งก็ประกอบด้วยลูกๆทั้งนั้น
คนในครอบครัวชินวัตร ได้ประเมินสถานการณ์ทางการเมือง แล้วไม่เห็นด้วยที่จะให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ ในสถานการณ์ขณะนี้ เนื่องจากยังไม่พร้อม จึงอยากให้รออีก 5 ปี
เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายกับสถานการณ์เมืองในปัจจุบัน เพราะ อุ๊งอิ๊งค์ อายุแค่เพียง 37 ปีเท่านั้น อีกทั้งยังมีแคนดิเดตนายกฯคนอื่นที่เหมาะสมกว่า เช่น นายเศรษฐา ทวีสิน ก็มีความเชี่ยวชาญในเรื่องทางเศรษฐกิจ และอยากให้เศรษฐกิจของประเทศกระเตื้องขึ้นด้วย รวมถึง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
ส่วนการเดินทางกลับประเทศของอดีตนายกฯ ทักษิณ ทางครอบครัวชินวัตร อยากให้ทอดเวลาออกไปก่อน แต่ตัวของนายทักษิณเองอยากเดินทางกลับมาเลย ซึ่งทางครอบครัวยังไม่มั่นใจว่าจะถูกหลอกหรือไม่ และใจจริงก็อยากให้กลับมาหลังตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว หรือมีรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว
หากเป็นเช่นนั้นจริง การที่ทักษิณ ประกาศว่าจะกลับภายในเดือน กรกฎาคม นี้ คงไม่เกิดขึ้นจริงแน่
เรื่องที่ 2,233 เวลานี้กระแสเรื่องการรักษ์โลก ดูแลสิ่งแวดล้อมมาแรงเกินต้านทาน เพราะไม่ว่าหน่วยงานไหนต่างก็มุ่งเข้าหา ล่าสุดการนิคมอุตสาหกรรมแก่งประเทศไทย หรือกนอ. ของอ.หน่อง “วีริศ อัมระปาล” ผู้ว่าการ กนอ. ก็เร่งเดินหน้าขอความร่วมมือกับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ให้ลงศึกษาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ (สงขลา) และนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) เพื่อช่วยให้คำแนะนำด้านการบริหารจัดการพลังงานในนิคมอุตสาหกรรมอย่างมีเสถียรภาพ
จริงจังแค่ไหน แค่ไหนเรียกจริงจังพิสูจน์ได้จากการที่ อ.หน่อง ลงไปที่โรงไฟฟ้าบี.กริม สาขานิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านพลังงาน โดยมุ่งเน้นผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม และพลังงานหมุนเวียน พร้อมกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยโรงไฟฟ้าของบี.กริมได้ทดลองใช้พลังงานสะอาดในระบบไมโครกริด (Microgrid : ระบบไฟฟ้าที่สามารถจ่ายไฟได้โดยไม่ต้องเชื่อมโยงกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า เช่น ระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าแบบต่างๆ รวมถึงระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า และระบบการจัดการพลังงานไฟฟ้า)
เรียกว่าลงไปดูให้เห็นกับตาด้วยตัวเอง สมกับที่เป็นคนขยันในการทำงานจริงเลยขอรับเจ้านาย ฟากฝั่งของเอกชนอย่างบริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO นำโดยบัณฑิต สะเพียรชัย รองประธานกรรมการเองก็ได้ร่วมมือกับบริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE เตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตธุรกิจพลังงานสะอาดที่มีการขยายตัวเป็นอย่างมากและนับว่าเป็นเมกะเทรนด์ของโลกในปัจจุบัน เดินหน้าธุรกิจสู่เทคโนโลยีที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Tech ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจคาร์บอนเครดิต
รัฐและเอกชนตื่นตัวกันขนาดนี้พวกเราประชาชนเองก็คงต้องดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ว่าจะอย่างไรก้หนีไม่พ้นกันให้ได้นะครับ
เรื่องที่ 2,234 บิ๊กใหญ่ของกรมสรรพสามิตที่ถูกระบุว่า เส้นใหญ่โทรไปขอเคลียร์ น้ำมันเถื่อนนั้น ล่าสุด “อธิบดีเอก-เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” อธิบดีกรมสรรพสามิต ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอเท็จเป็นที่เรียบร้อย แม้จะมีข่าวลือตลอดทั้ง คนชื่อ นำ “ย.ยักษ์” คือคนที่กล่าวถึง โทรไปเคลียร์เรื่องน้ำมันเถื่อนแล้วก็ตาม แต่เพื่อความยุติธรรมต่อเจ้าหน้าที่ทุกนาย “อธิบดีเอก” จึงตั้งคณะกรรมการาสอบสวนเรื่องดังกล่าว จึงขอให้สบายใจได้ว่า กรมสรรพสามิตนั้น เถรตรงและยุติธรรมขอให้สบายใจได้
สรุปข่าวต่างประเทศ
เรื่องที่ 2,235 สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งยุโรป (ECFR) เปิดผลการสำรวจความเห็นกลุ่มตัวอย่างจากหลายประเทศที่ระบุว่า ปัจจุบันมีชาวยุโรปที่เห็นรัสเซียเป็นศัตรูเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่จะเกิดสงครามในยูเครน ขณะที่ กลุ่มตัวอย่างเกือบครึ่งหนึ่งไม่มั่นใจว่ายูเครนจะสามารถเอาชนะรัสเซียในสงครามครั้งนี้ได้
ECFR ระบุว่า ขณะนี้เกือบ 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสองถามมองว่า รัสเซียเป็นศัตรูหรือคู่แข่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัวจากการสำรวจเมื่อปี 2564 แต่ความคิดเห็นนั้นมีความแตกต่างออกไปในแต่ละประเทศ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ในเดนมาร์ก โปแลนด์ สวีเดน และเยอรมนีมองว่ารัสเซียเป็นศัตรู ส่วนอิตาลีมองว่ารัสเซียเป็นศัตรูเพียง 37% และบัลแกเรียเห็นรัสเซียเป็นศัตรูเพียง 17%
รายงานระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 1 ใน 3 เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ยูเครนจะเป็นฝ่ายกำชัยชนะในสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซีย ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 2 ใน 5 หรือ 22% ยังไม่ได้ตัดสินใจ ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่งคิดว่ายูเครนไม่น่าจะชนะรัสเซีย
เรื่องที่ 2,236 ประธานาธิบดีโจโก วิโดโดแห่งอินโดนีเซียเรียกร้องให้มาเลเซียยกระดับความร่วมมือ เพื่อต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติต่อผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียและมาเลเซีย หลังจากกฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรป (EU) เสี่ยงที่จะบั่นทอนการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มของประเทศ
ทั้งนี้ EU เพิ่งออกกฎหมายฉบับใหม่ในปีนี้ เพื่อห้ามนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่อน้ำมันปาล์ม
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า อินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นสองผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยน้ำมันปาล์มเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์แทบทุกชนิดตั้งแต่ลิปสติกไปจนถึงพิซซ่า
“เราจำเป็นต้องยกระดับความร่วมมือ เนื่องจากเราไม่ต้องการให้ประเทศอื่น ๆ เลือกปฏิบัติต่อสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผลิตโดยมาเลเซียและอินโดนีเซีย” ปธน.วิโดโดระบุในการแถลงข่าว ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย หลังเสร็จสิ้นการประชุมกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมแห่งมาเลเซีย
ในแถลงการณ์ร่วม ปธน.วิโดโดและนายกฯอิบราฮิมประกาศว่าจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับมาตรการที่เลือกปฏิบัติของ EU ที่มีต่อน้ำมันปาล์ม
เรื่องที่ 2,237 พลเรือเอกยูโด มาร์กาโน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของอินโดนีเซีย กล่าวกับสำนักข่าวอันตาราของรัฐบาลอินโดนีเซียว่า การซ้อมรบดังกล่าวจะมีขึ้นในเดือนก.ย. และไม่มีการฝึกยุทธการการรบใด ๆ โดยจุดประสงค์ของการซ้อมรบครั้งนี้คือการเสริมสร้าง “ความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน”
พลเรือตรีจูเลียส วิดโจโจโน โฆษกกองทัพอินโดนีเซียกล่าวว่า การซ้อมรบดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านภัยพิบัติในเอเชีย โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียนได้ถูกทดสอบตลอดหลายปีที่ผ่านมา จากการที่สหรัฐและจีนแข่งขันกันในทะเลจีนใต้ โดยประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน และมาเลเซียต่างอ้างสิทธิ์อธิปไตยเหนือพื้นที่ต่างๆ ของทะเลจีนใต้ เช่นเดียวกับจีนที่อ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่เหล่านั้นในทะเลจีนใต้ รวมถึงพื้นที่บางส่วนของเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ของอินโดนีเซีย
โดยนพวัชร์