ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 2 – 3 มิ.ย 2566
ในขณะที่ยังมีความไม่แน่ไม่นอนทางทางการเมืองหลังเลือกตั้งนี้
เรื่องที่ 2,209 เป็นเวลาเดียวกับที่ทางพรรคก้าวไกล และพิธา ลิ้มเจริญรันต์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เดินสายสร้างความชอบธรรมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย
การเดินเกมของพรรคก้าวไกลนี้ เพื่อให้คนไทยเข้าใจว่า พิธา จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปอย่างแน่นอน โดยไม่มีทางเป็นอื่นได้
พิธา และพรรคก้าวไกล เดินสายพูดคุยกับทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้ง 3 สมาคม ประกอบด้วย สมาคมสันนิบาตเทศบาล, สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบล เหล่านี้จะทำให้เห็นภาพว่า พิธา กำลังเตรียมตัวเป็นนายกรัฐมนตรี และพร้อมที่จะเข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาล
และไม่เพียงเท่านั้น พิธา และพรรคก้าวไกล ยังเดินสายขอบคุณผู้สนับสนุน ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด โดยทุกที่ที่เดินทางไป ต่างมีประชาชนมารอรับอย่างล้นหลาม
จะเห็นว่าในขณะที่พิธา กำลังเดินสายพูดคุยกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มความชอบธรรมในการตั้งรัฐบาลนั้น เขาก็กำลังพยายามรวบรวมมวลชนไว้ และเมื่อใดก็ตามที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อนั้นมวลชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลนี่แหละ จะเป็นเกราะป้องกันให้กับพิธา
เรื่องที่ 2,210 ได้เห็นโครงการนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือกฟผ. แล้วก็อดที่จะชื่นชมความคิดของผู้บริหารอย่างพี่สิงห์ “บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร” ผู้ว่าการ กฟผ. ไมได้ เพราะการที่ไปดำเนินการร่วมมือกับพันธมิตรอย่างสมาคมการผังเมืองไทย กรรมการและเลขานุการกฎบัตรไทย และเครือข่าย 10 มหาวิทยาลัย ยกระดับเขื่อนของ กฟผ. และพื้นที่ชุมชนโดยรอบที่มีศักยภาพสู่ธุรกิจสุขภาพ หรือเวลเนส (Wellness)
โดยจะยกระดับให้เป็นเขตนวัตกรรมการแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพ เขตนวัตกรรมการท่องเที่ยวมูลค่าสูง ซึ่งจะนำร่องด้วยพื้นที่ของเขื่อนเป้าหมาย 9 แห่งทั่วประเทศพัฒนาเครือข่ายการตลาด ส่งเสริมการจ้างงานและเศรษฐกิจชุมชน รวมถึงประสานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการภายใต้กรอบระยะเวลา 5 ปี เพื่อร่วมกันยกระดับเศรษฐกิจฐานราก
เรียกว่าเป็นการนำของที่ดีอยู่แล้วมาทำให้ดียิ่งขึ้น สร้างเงิน สร้างงานให้กับชาวบ้าน แม้พี่สิงห์จะใกล้หมดวาระแต่ก็ยังทำงานเต็มกำลังไม่ได้หย่อนลงเลย งานนี้ บก.ชวนคุยต้องขอปรบมือให้ดังๆเลยขอรับเจ้านาย
เรื่องที่ 2,211 เมื่อวานนี้ (1มิ.ย.) ธนาคารกรุงเทพ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากไปแล้ว ล่าสุด วันนี้ (2 มิ.ย.) KBANK ปรับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพิ่มขึ้น 0.20% โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7.02%
อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7.34% และอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7.05% ต่อปีส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ และเงินฝากประจำสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล อยู่ที่ 0.05% – 0.25%
และอีกแบงก์คือ ธสน. หรือเอ็มซิมแบงก์ ประกาศปรับอัตราดอกเบี้ย Prime Rate 0.25% ต่อปี จาก 6.25% ต่อปี เป็น 6.50% ต่อปี และยังระบุว่า อัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ยังคงเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 6 มิ.ย.2566 เป็นต้นไป
สรุปข่าวต่างประเทศ
เรื่องที่ 2,212 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ สะดุดล้มคะมำหลังจากมอบประกาศนียบัตรให้กับนักเรียนในพิธีสำเร็จการศึกษาที่โรงเรียนกองทัพอากาศสหรัฐ รัฐโคโลราโดเมื่อวานนี้ (1 มิ.ย.) แต่ก็รีบลุกขึ้นและเดินกลับไปที่นั่งของตัวเองได้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ปธน.ไบเดนวัย 80 ปี สะดุดล้มไปข้างหน้าและใช้มือยันไว้ จากนั้นจึงมีคน 3 คนเข้ามาช่วยพาลุกขึ้นยืน จากนั้นปธน.ไบเดนก็ชี้ไปที่ด้านหลังเพื่อบ่งบอกว่าเขาสะดุดกระสอบทรายที่ใช้ยึดเครื่องเทเลพรอมเตอร์
อนึ่ง ไบเดนเป็นผู้ดำรงตำแหน่งปธน.สหรัฐที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และมีแผนจะลงสมัครรับเลือกตั้งชิงสมัยที่ 2 ในปี 2567
ทั้งนี้ โพลจากสำนักต่าง ๆ ชี้ว่าชาวอเมริกันกังวลเกี่ยวกับการให้คนอายุเกิน 75 ปีมาเป็นประธานาธิบดี โดยข้อมูลจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (CDC) ของสหรัฐระบุว่า การหกล้มเป็นสาเหตุหลักของการบาดเจ็บถึงแก่ชีวิตในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
เรื่องที่ 2,213 กระทรวงสาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการของญี่ปุ่นเปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (2 มิ.ย.) ระบุว่า อัตราเจริญพันธุ์โดยรวมของญี่ปุ่นลดลงเป็นปีที่ 7 ติดต่อกันในปี 2565 ในขณะที่ญี่ปุ่นเผชิญกับความยากลำบากจากภาวะอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างรวดเร็วแบบต่อเนื่อง
จำนวนเด็กทารกเกิดใหม่ในญี่ปุ่นเมื่อปี 2565 ลดลงติดต่อกันเป็นปีที่ 7 โดยหลุดระดับ 800,000 คนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลในปี 2542 สู่ระดับ 770,747 คน ซึ่งลดลง 40,875 คน จากปีก่อนหน้า
อัตราเจริญพันธุ์โดยรวมลดลงสู่ระดับ 1.26 คน เท่ากับระดับต่ำที่สุดเป็นระวัติการณ์ในปี 2548 โดยเชื่อกันว่าการลดลงอย่างมากนี้ เป็นผลจากการที่ประชาชนชะลอการมีบุตร เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยอัตราเจริญพันธุ์หมายถึงจำนวนบุตรเกิดใหม่ที่รอดชีวิตโดยเฉลี่ยของสตรีในวัยเจริญพันธุ์
เรื่องที่ 2,214 นายเกร็ก แชร์นาว กรรมการผู้จัดการด้านพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัทแปซิฟิก อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนท์ โค (พิมโค) ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกระบุว่า ทองคำในตลาดโลกยังคงมีราคาแพงเกินไปในขณะนี้ แม้ราคาได้ปรับตัวลงบ้างแล้วเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมกับกล่าวว่า การที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงมากจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เผชิญกับความยากลำบากในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ตลอดเดือนพ.ค. สัญญาทองคำในตลาด COMEX ปรับตัวลงทั้งสิ้น 1.8% แต่ก็เป็นการปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยหลังจากที่พุ่งทำนิวไฮในช่วงต้นเดือนดังกล่าว นายแชร์นาวกล่าวว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงอีก แต่ก็คาดว่าทิศทางในระยะยาวนั้น ราคาทองคำจะยังคงได้รับปัจจัยหนุนที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ นายแชร์นาวกล่าวว่า ราคาทองคำแท่งในปัจจุบันมีมูลค่าสูงเกินไป เมื่อเทียบกับราคาพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (TIPs) โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง (real bond yields) มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกเป็นเวลานาน ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
เรื่องที่ 2,215 หนังสือพิมพ์เวียดนามนิวส์ รายงานว่า เศรษฐกิจเวียดนามยังไม่ตกต่ำถึงขีดสุด แม้ว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นมากมายเพื่อผลักดันความเชื่อมั่นทางธุรกิจก็ตาม
สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามระบุว่า ยอดการส่งออกของเวียดนามในเดือนพ.ค.ปรับตัวลดลง 5.86% เมื่อเทียบรายปี แม้จะหดตัวน้อยกว่าระดับ 17.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ก็ตาม
นักวิเคราะห์ระบุว่า การส่งออกของเวียดนามซบเซาลงนับตั้งแต่เดือนพ.ย. โดยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ เมื่อเดือนก.พ. เนื่องจากดีมานด์จากต่างประเทศที่อ่อนแอลง ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน
ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ระบุในรายงานว่า “ไม่มีสัญญาณชัดเจนที่บ่งชี้ว่า เวียดนามถึงจุดต่ำสุดแล้ว ท่ามกลางอุปสรรคขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงขึ้น” และเสริมว่า “แน่นอนว่า ข้อมูลเศรษฐกิจภายนอกประเทศที่ซบเซายังคงเป็นความเสี่ยงด้านลบที่ใหญ่ที่สุดต่อการเติบโต”
ทั้งนี้ สินค้าส่งออกที่ร่วงลงอย่างหนัก ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์, อาหารทะเล, เสื้อผ้า, รองเท้า และสมาร์ตโฟน ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นตัวสร้างรายได้เงินตราต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดให้กับเวียดนาม ขณะเดียวกัน การนำเข้าของเวียดนามทรุดลง 18.4% ในเดือนพ.ค. ตอกย้ำแนวโน้มขาลงตลอดช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา
โดยนพวัชร์