ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 19-20 ก.พ.2566
จับตาการประชุมวุฒิสภา หรือ ส.ว. วันที่ 21 ก.พ.นี้ จะมีการพิจารณา ว่าจะเห็นสมควรส่งความเห็นไปที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อให้มีการออกเสียงประชามติในรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่
เรื่องที่ 1,821 เรื่องดังกล่าวเป็นญัตติด่วนของสภาผู้แทนราษฎร ที่มีมติให้ความเห็นชอบเสนอต่อ ครม. ให้ดำเนินการตามที่รัฐสภามีมติในการออกเสียงประชามติ ตามข้อเสนอ “จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ” เพื่อใช้แทนที่รัฐธรรมนูญ 2560
หลักการและเหตุผล คือเนื่องด้วยรัฐธรรมนูญ 2560 ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยคนในสังคมอย่างกว้างขวาง เป็นต้นตอของความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากคณะรัฐประหาร มีกระบวนการรับรองโดยอาศัยการทำประชามติที่ไม่เสรี และไม่เป็นธรรมตามมาตรฐานสากล มีเนื้อหาหลายส่วนที่มีความถดถอยทางประชาธิปไตย อาทิ มีการขยายอำนาจสถาบันทางการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และมีกลไกสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร รวมถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่รัดกุมน้อยกว่าในอดีต
ปัญหาดังกล่าวจึงทำให้ประชาชนแสดงออกถึงการเรียกร้องให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ โดยผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน จึงขอเสนอจัดทำประชามติเพื่อสอบถามประชาชนว่า จะเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผ่านกลไกของสสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนหรือไม่
สำหรับแนวโน้มของ ส.ว.ดูท่าจะไม่เอาด้วย เพราะอย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่า ส.ว.นั้นได้ประโยชน์อย่างใหญ่หลวงจากรัฐธรรมนูญ 60 มีหรือที่ ส.ว.จะยอมให้รื้อรัฐธรรมนูญ 60
เรื่องที่ 1,822 ช่วงนี้เป็นเทศกาลของการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ บจ. โดยยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจพลังงานไทยอย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือปตท. โดยท่านซีอีโอ “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ระบุว่า ปตท. และบริษัทย่อยที่มีกำไรสุทธิจำนวน 91,175 ล้านบาท (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 3.6%) ลดลงจำนวน 17,188 ล้านบาท หรือ 15.9% จากปีก่อน
นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังนำส่งรายได้เข้ารัฐรวมจำนวน 86,395 ล้านบาท ส่วนการจ่ายปันผลมีมติจ่ายเงินสำหรับผลประกอบการปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 2 บาท ซึ่งได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 1.30 บาท เมื่อต.ค. 2565 คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายอีกในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท โดยหากดูจากผลการดำเนินงานแม้ว่าจะมีกำไร แต่ก็เป็นอัตราที่ลดลง แต่ ปตท. ก็ยังสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อยู่ เรียกว่าเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งจริงๆ ดีใจกับท่านผู้ถือหุ้น ปตท. ทุกคนด้วยนะขอรับ
เรื่องที่ 1,823 เมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่าน สภาพัฒน์แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทย ปี2565 และแนวโน้มปี2566 ยังสดใส แม้ว่า จีดีพีไตรมาส4 ของปีที่แล้ว ขยายตัวเพียง 1.4% ขยายตัวต่ำสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสอื่นๆ แล้วก็ตาม เหตุคือ เศรษฐกิจโลกชะลอ ส่งผลให้เศรษฐกิจปีที่แล้ว ขยายตัว 2.6% และปีนี้ จะขยายตัว 3.2% แม้จะดีกว่าปีที่แล้วก็ตามเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น
โดยประมาณการใหม่ของสภาพัฒน์ คาดว่า ปีนี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยประมาณ 28 ล้านคน จากเดิม 23 ล้านคน มีการจับจ่ายใช้สอยต่อหัวต่อทริปอยู่ที่ 70,000 บาทต่อคนก็ตาม
แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้การส่งออกปีนี้ คาดว่า จะติดลบ 1.6% เป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจไทย ที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด เพราะโอกาสที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกันคือ ไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว กับไตรมาสแรกปีนี้ ยังคงมีความเสี่ยงอยู่สูง เนื่องจากมูลค่าของจีดีพีไทย มาจากการส่งออกถึง 60% ขณะที่ ภาคการท่องเที่ยวมีเพียง 20% เท่านั้น!!
เรื่องที่ 1,824 ประเด็นหวาดเสียว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กรณีผู้บริหารกระทรวงการคลัง 2 คนคือ “อธิบดีอุ๋ย-กุลยา ตันติเตมิท” อธิบดีกรมบัญชีกลางและ “พี่อ้วน-นายจำเริญ โพธิยอด” อธิบดีกรมธนารักษ์ ซื้อหุ้น ESOP จากบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด สัปดาห์นี้คงเงียบลงแล้ว เพราะอธิบดีกรมทั้งสองท่านรายงานการซื้อและขายหุ้นให้แก่กระทรวงการคลัง และตลาดหลักทรัพย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่ “ปลัดพี่ตู่-กฤษฎา จีนะวิจารณะ” ปลัดกระทรวงการคลังไม่ได้เรียกสอบ หรือตั้งคณะกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด เพียงให้ทั้ง 2 อธิบดีชี้แจงข้อเท็จจริงเท่านั้น หากมีมูลก็เรียบร้อย “สอยกันต่อไป” แต่ถ้าไม่มีอะไรในก่อไผ่เป็นอันว่า “จบ”
ส่วนจะตามสาวใส้คนปล่อยข่าวเรื่องนี้ ชี้ประเด็นว่า มุ่งทำร้าย หรือเจตนาดี ต้องไปถาม “บางจาก” เพราะข่าวลือข่าวปล่อยออกมาเป็นชุดๆ เป็นกระบิ!! ฝีมือต้องระดับพระกาฬแน่นอน
โดยนพวัชร์