ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.2566
การกลับพรรคพลังประชารัฐของ 2 กุมารอย่าง อุตตม สาวนายน และสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นำมาซึ่งคำถามที่ว่าพวกเขาจะอยู่กับพรรคพลังประชารัฐได้อย่างไร
เรื่องที่ 1,766 ต้องไม่ลืมว่าคนทั้งสองเคยถูกบีบให้ออกจากพรรคพลังประชารัฐ เมื่อ 3 ปี ก่อน จนต้องยกทีมไปตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย หวังให้เป็นอาณาจักรของตัวเอง
เหตุที่ต้องถาม 2 กุมารจะอยู่ในพรรคพลังประชารัฐได้อย่างไร ก็เพราะพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้ต้องการมือเศรษฐกิจเพื่อโชว์ฝีมือในการทำนโยบาย หากแต่ต้องการนักการเมืองท่ีมีฐานเสียง มีผู้สนับสนุน เพื่อเพิ่มจำนวน ส.ส.ให้กับพรรคพลังประชารัฐ
ไม่มีใครในพรรรพลังประชารัฐ ที่อยู่เพื่อพึ่งพาพรรค หากแต่ต่างพึ่งพาตนเอง และหวังอาศัยบารมีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เท่านั้น
เหตุผลนี้เองจึงมองว่าการตัดสินใจกลับพรรคพลังประชารัฐของอุตตมและสนธิรัตน์ จึงเกิดคำถามว่าพวกเขาจะอยู่ในพรรคแบบขาลอยได้อย่างไร
แล้วอยู่ไปอยู่มาประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่
เรื่องที่ 1,767 วันนี้ (31 ม.ค.) คณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ซึ่งประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย รุกไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือกกพ. โดยถือธงไปด้วยว่าค่าไฟงวด พ.ค.-ส.ค. 66 จะต้องไม่เกิน 5 บาทต่อหน่วย แต่เมื่อสอบถามไปยัง “พี่เต้ย” คมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้รับคำตอบว่า ไม่มีการพูดถึงเรื่องค่าไฟ 5 บาทเลย
ส่วนใหญ่จะพูดคุยกันถึงเรื่องของเหตุผลที่ค่าไฟมีราคาเท่านี้เพราะอะไร และปัจจัยอะไรที่จะกำหนดว่าค่าไฟจะขึ้น หรือจะลงได้ โดยที่ กกร. ก็รับฟังด้วยดี และพร้อมจะให้ความร่วมมือเรื่องการใช้ก๊าซแอลเอ็นจีให้น้อยลง โดยหันไปใช้น้ำมันเตา รวมถึงดีเซล และเชื้อเพลิงชีวมวลแทน ส่วนเรื่องการขอติดตั้งโซลาร์เซลล์ กกพ. ก็พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ซึ่งจะมีการเน้นย้ำการไฟฟ้าให้เร่งดำเนินการให้
เรียกว่าการหารือเป็นไปได้ด้วยดี เพราะเมื่อยกหูหา “อิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” รองประธาน ส.อ.ท. ก็ระบุว่า จากการหารือถึงรายละเอียดที่นำมาคำนวณค่า Ft งวดที่ 2 (พ.ค.-ส.ค.66) พบว่ามีข่าวดีที่ค่าไฟฟ้างวดต่อไปจะมีแนวโน้มที่ลดลง แต่จะลดลงมากน้อยแค่ไหนต้องดูข้อมูลอื่น ๆ ประกอบการพิจารณาอีกครั้ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปมี.ค.นี้ นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงพลังงานของประเทศไทยในอนาคต หลังจากที่ไทยจะก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในการตอบโจทย์ลดภาวะโลกร้อนส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change) ด้วย ถ้าสามัคคีกันทำงาน บก.ชวนคุยก็ยังเชื่อว่าประเทศชาติน่าจะได้ประโยชน์กว่าขัดแย้งกัน หรือโยนกันไปมาอย่างแน่นอนครับผม
เรื่องที่ 1,768 ประเด็นเศรษฐกิจช่วงนี้ ดูแล้วเงียบๆ หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ประกาศขึ้นอัตราดอก เบี้ยอีก 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.50% แล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และในสัปดาห์นี้ เริ่มมองเห็นธนาคารพาณิชย์เอกชน และธนาคารเฉพาะกิจชองรัฐ ต่างทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากเป็นเงาติดตาม กนง.นั้น ยังไม่เพียงพอ แต่ยังมีอีกประเด็นที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดโนยายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FOMC ที่จะขึ้นวันที่ 31 ม.ค.ต่อเนื่องถึงวันที่ 1 ก.พ.เช่นกัน ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษจะมีการประชุมในวันที่ 2 ก.พ. สัปดาห์เดียวกัน จึงน่าจับตาอย่างยิ่ง ในการตัดสินใจของบรรดาธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลกที่จะบริหารเศรษฐกิจของประเทศตนเองไปในทิศทางใด
ส่วนประเทศไทยนั้น จับตาการเมืองเพียงเรื่องเดียวคือ “ยุบสภาวันไหน” ….!!
เรื่องที่ 1,769 งาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” จัดไปครบแล้ว 5 ครั้งทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่กรุงเทพฯ ขอนแก่น เชียงใหม่ ชลบุรีมาถึงหาดใหญ่ เมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา “ขุนคลัง-อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” ระบุว่า ประสบความสำเร็จอย่างงาม และอยากให้ทุกแบงก์จัดงานแบบนี้ ทุกสาขาไม่ใช่รอจัดงานมหกรรมฯ โดยแนวคิดนี้ จะเป็นจริงแค่ไหน ต้องติดตามวันที่ 7 ก.พ.นี้ แถลงข่าวใหญ่การันตรีความสำเร็จโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
โดยนพวัชน์