ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 29-30 ธ.ค.2565
เล่นเอาสื่อตื่นตระหนกกันยกใหญ่ เมื่อ 2 พรรคการเมือง คือ พรรคสร้างอนาคตไทย นำโดยสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และพรรคไทยสร้างไทย นำโดยสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นัดสื่อมวลชนแถลงข่าว ความคืบหน้าความร่วมมือทางการเมือง
เรื่องที่ 1,682 ร้อยทั้งร้อยต่างคิดว่า พรรค 2 ส. กำลังจะควบรวม หนีตายสูตรเลือกตั้งแบบหาร ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วย 100 อย่างที่พรรคชาติพัฒนา และพรรคกล้า ได้รวมกันก่อนหน้านี้
แต่เอาเข้าจริง ปรากฎว่า พรรคสร้างอนาคตไทยและพรรคไทยสร้างไทย แถลงข่าวประกาศเป็นพันธมิตรทางการเมือง หาได้มีการควบรวมกันไม่
ทั้งสุดารัตน์และสมคิด ออกปากว่ามีแนวทางการทำงานตรงกัน จึงประกาศเป็นพันธมิตรทางการเมืองระหว่าง 2 พรรค ส่วนจะมีการควบรวมพรรคหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต เพราะตอนนี้ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น
เปรียบเหมือนหนุ่มสาว คงคล้ายประกาศว่าแค่คุยๆ ยังไม่ตกลงคบเป็นแฟน
เรื่องที่ 1,683 ได้ข้อสรุปเสียทีสำหรับอัตราค่าไฟงวด ม.ค.-เม.ย. 66 ที่ภาคเอกชนจะต้องจ่าย โดยพี่เต้ย “คมกฤช ตันตระวาณิชย์” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. ระบุว่า ที่ประชุม กกพ. มีติเห็นชอบปรับลดค่าไฟให้ผู้ใช้ไฟฟ้าภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเหลือต้องจ่าย 5.33 บาทต่อหน่วย จากเดิมที่ต้องจ่าย 5.69 บาทต่อหน่วย โดยเป็นผลมาจากการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติผันแปร หรือค่าเอฟที (FT) เหลือ 154.02 สตางค์ต่อหน่วยจากเดิมที่ต้องจ่ายค่าเอฟที 190.44 สตางค์ต่อหน่วย
การปรับลดครั้งนี้มาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ดำเนินการคำนวณกรณีศึกษาเพิ่มเติม โดยจัดสรรก๊าซอ่าวไทยเพื่อการผลิตไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย ราคา 237 บาทต่อล้านบีทียู ในปริมาณที่ไม่เพิ่มภาระอัตราค่าไฟฟ้าจากปัจจุบัน (รวมการทยอยคืนค่า AF ให้กับ กฟผ. 22.22 สตางค์ต่อหน่วย) ตามมติ กพช. ในสัดส่วนประมาณ 28.16% จากการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด หรือประมาณ 64,980 ล้านบีทียู ในช่วงเดือนม.ค. – เม.ย. 2566 ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับผู้ใช้ก๊าซรายอื่นเพิ่มขึ้นเป็น 496 บาทต่อล้านบีทียู
เช่นเดียวกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่มีคำนวณใหม่ ไม่รู้ว่าอัตรานี้จะเป็นที่พอใจของภาคเอกชนหรือไม่ แต่ก็เชื่อว่ารัฐบาล และผู้ที่เกี่ยวข้องก็คงทำเต็มที่แล้ว ยังไงก็ขออย่าให้ผลักภาระมาที่ประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคเลยนะขอรับ เพราะเวลานี้ค่าครองชีพก็พุ่งสูงปรี๊ดจนไม่รู้ว่าจะฉุดกลับมาได้เมื่อไหร่ อย่างไรแล้วครับผม
เรื่องที่ 1,684 เรียบร้อยแล้ว ตำแหน่งเอ็มดี ธ.ก.ส.ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสรรหา เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา สดๆ ร้อนๆ คือ “ฉัตรชัย ศิริไล” ข้ามห้วยจาก ธอส.มานั่งบ้านหลังใหม่ได้สำเร็จ หลังจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องลุ้นอีก 2-3 เรื่อง แต่เป็นแบบอ่อนๆ เปียกๆ ไม่ใช่ประเด็นหินแต่อย่างใด แต่ถ้าไม่ผ่าน ถือเป็นเรื่องใหญ่ ว่าที่เอ็มดีคนใหม่ “กลายเป็นเด็กน้อย” หรือจะเรียกว่า “ห่วย” ก็ว่าได้
ประเด็นแรก การตรวจคุณสมบัติตจาก ธปท. หลังเป็นเอ็มดีแบงก์ ธอส.มาครบ 6 ปี กำลังขึ้นปีที่ 7 ถ้าไม่ขาวสะดวก หรือโปร่งใส ก็แสดงว่า ที่ผ่านมา ธอส.ได้คนผิดมานั่งทำงาน
ประเด็นที่สอง อัตราผลตอบแทน ไม่แน่ใจว่า เพดานสูงสุดของ ธ.ก.ส.เท่าไหร่ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ สำหรับ “ฉัตรชัย” เพราะลูกเมียไม่มี “ชายโสด” ใช้จ่ายไม่เยอะ นอกจากดูแลพ่อแม่
ประเด็นสุดท้าย หลังจากผ่านกระบวนการที่ 1 และ2 แล้ว ก็มาถึงการพิจารณาจากคณะกรรมการ หรือ บอร์ด ที่มีขุนคลัง (อาคม เติมพิทยาไพสิฐ) เป็นประธาน ถ้าคิดว่า สามขั้นตอนนี้ “ไม่ผ่าน” ต้องวกกลับสรรหาเอ็มคนใหม่อีกครั้ง
อีกเรื่องที่ต้องกล่าวถึง ไม่เช่นนั้น ผู้อ่านจะหาว่า “นพวัชร์” ไม่รู้จริงคือ
1.“พี่หมู-ธนารัตน์ งามวลัยรัตน์” ยังคงทำงานถึงวันที่ 25 มี.ค.2566 ตรงวันเกิด อายุ 60 ปี
2. “ฉัตรชัย” เริ่มทำงานได้จริง ก็เดือนเม.ย.2566 ตรงกับเทศกาลสงกรานต์ หยุดยาวของพี่น้องชาวไทยพอดี
3.ใครจะมาแทน “ฉัตรชัย” ในตำแหน่งเอ็มดี ธอส.ยังต้องลุ้นกันอีกหลายรอบ
4.เดือนมี.ค. ต่อเดือนเม.ย. เกิดช่วงสุญญากาศทางการเมือง เพราะเลือกตั้งทั่วประเทศ
5.ช่วงเวลาที่มีการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลใหม่นั้น “รมว.คลัง” อาจไม่ใช่คนชื่อ “อาคม” ก็เป็นไปได้นะจ๊ะ
โดยนพวัชร์