ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 15-16 ธ.ค.2565
การเมืองร้อนแรง ต้องจับตาพรุ่งนี้ (16 ธ.ค.) พรรคภูมิใจไทย นำโดยอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรค ควงคู่ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรค เปิดตัวกว่า 30 ส.ส.ต่างพรรค ที่ย้ายเข้ามาซบบารมีภูมิใจไทย เตรียมตัวสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่
เรื่องที่ 1,648 ส.ส.กว่า 30 ชีวิตดังกล่าวมาจากหลายพรรค ทั้งพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ก้าวไกล ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลมีทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเศรษฐกิจไทย
ส.ส.กว่า 30 ชีวิตนี้ เมื่อเปิดตัวในฐานะสมาชิกพรรคภูมิใจไทย จะต้องพ้นสภาพความเป็น ส.ส.ในทันที นั้นทำให้มองได้ว่า งานสภาน่าจะไปไม่รอด อาจถึงคราวที่ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องตัดสินใจยุบสภาเร็วกว่าที่คาดไว้
และแน่นอน ภูมิใจไทย มีโอกาสได้ ส.ส.เยอะขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า ทำให้วันนี้ อนุทิน เข้าใกล้โอกาสจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปมากขึ้นด้วยเช่นกัน
เรื่องที่ 1,649 ประกาศแล้วจ้า! สำหรับอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่าเอฟที (FT) งวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 66 ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นได้ทั้งข่าวดี และข่าวร้ายเลยทีเดียว เมื่อพี่เต้ย “คมกฤช ตันตระวาณิชย์” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ในฐานะโฆษก กกพ. ระบุชัดเจนว่า ค่าไฟงวด ม.ค.-เม.ย.66 ยังตรึงราคาไว้ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย
ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น ซึ่งก็หมายถึง กิจการขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ โรงแรม กิจการไม่แสวงหากำไร สูบน้ำเพื่อการเกษตร ไฟฟ้าชั่วคราว(ระหว่าง ก่อสร้าง) หรือก็คือ อุตสาหกรรม การค้า การเกษตร การบริการ ทั้งหมดจะมีค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่อัตรา 5.69 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 20.5% จากงวดปัจจุบัน
แน่นอนว่าการตรึงราคาค่าไฟนั้นเป็นข่าวดีของพวกเราพี่น้องชาวไทยทุกคน แต่การที่ กกพ. แบ่งแยกไปขึ้นค่าไฟสำหรับผู้ใช้ประเภทอื่น ซึ่งก็คือกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ ก็ย่อมส่งผลกระทบชิ่งกลับมาหาประชาชนอยู่ดี เพราะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น เมื่อต้นทุนสูงขึ้น ราคาสินค้าก็ต้องแพงตามไปด้วย เรียกว่าสุดท้ายประชาชนก็คงต้องรับกันไปแบบเต็มคาราเบลอยู่ดี เนื่องจากก่อนหน้านี้ “พี่ไก่” เกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ก็บอกออกมาแล้วว่า หากค่าไฟขึ้น ราคาสินค้าก็จะเพิ่มขึ้น 5-12%
ไม่รู้ว่าการประกาศทั้งตรึง และขึ้นแบบนี้ของ กกพ. จะเป็นข่าวดี หรือข่าวร้ายมากกว่ากันนะขอรับกระผม
เรื่องที่ 1,650 ถามเรื่องสรรหาผู้จัดการคนใหม่ ธนาคารสีเขียว (ธ.ก.ส.) “ขุนคลัง-อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” ไม่ขอตอบ แต่โยนเรื่องทั้งหมดให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหา เมื่อได้เอ็มดีคนใหม่แล้ว ถึงจะมอบหมายนโยบายในการบริหารกิจการธนาคารเพื่อพัฒนาองค์และดูแลเกษตรกรอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล แม้ขุนคลังเองก็ยังอยากรู้จริงๆ ว่า มีจำนวนเท่าไหร่ เพราะบางคนบอกว่า มี 12% อีกคนว่า 16% อย่างนี้ ก็ไม่มีอะไรที่ชัดเจน เนื่องจาก ธ.ก.ส.พักหนี้ให้เกษตรกรหลายครั้งในช่วงที่เกิดโควิด-19 จนถึงวันนี้ (15 ธ.ค.) ยังมีเกษตรกรพักหนี้อยู่ในบัญชี
ดังนั้น ขุนคลังจึงอาศัยจังหวะนี้ แนะนำ ธ.ก.ส.กรณีที่ลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการประนอมหนี้ นอกจาก ธ.ก.ส.จะปรับปรุงโครงสร้างให้แล้ว ต้องปล่อยสินเชื่อให้ใหม่ พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาชีพเสริม เช่น เลี้ยงไก่ และปลูกผักสวนครัว เป็นต้น เพราะลำพังรายได้จากการเกษตรปลูกข้าว กรีดยางพาราหรือปลูกอ้อยเพียงอย่างเดียว มีรายได้เป็นรายปี ไม่มีรายได้เป็นรายวันเข้ากระเป๋าเหมือนกับกิจการค้าเชิงพาณิชย์ ธ.ก.ส.จึงต้องเข้าไปส่งเสริม เติมทุนและแนะนำอาชีพให้แก่เกษตรกร โดยรายได้ที่เกิดขึ้นใหม่นี้ ต้องนำมาแบ่งให้กับธนาคาร 50% หรือครึ่งหนึ่ง เพื่อให้มีการผ่อนส่งทุกๆ เดือน
ส่วนมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TFRS9) หรือรู้จักกันดีในนามของ T9 นั้น ขุนคลังบอกให้แบงก์ชาติ เลื่อนใช้ไปก่อน จนถึงวันที่ 1 ม.ค.68 เพราะจนถึงวันนี้ ยังไม่มีรายงานจากแบงก์เฉพาะกิจแห่งใดว่า ดำเนินการได้ตามมาตราฐานT9 จึงขอเวลาตรวจสอบก่อน แต่ที่แน่นอนคือ คลังมอบหมายการตรวจสอบแบงก์รัฐให้แก่แบงก์ชาติไปแล้ว ครั้นดึงกลับมาอยู่ภายใต้คลังอีกครั้ง คงสวนกระแสอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ จะพิจารณาร่วมกับแบงก์ชาติทีละแห่งดีที่สุดครับ
โดยนพวัชร์