ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 13-14 ธ.ค.2565

บรรยากาศการเมืองในช่วงนี้ ฝุ่นตลบไปด้วยข่าวการย้ายพรรคของนักการเมือง รวมกับข่าวการดูด ส.ส.ของพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง

เรื่องที่ 1,640 ตามกำหนดการ รัฐบาล “ลุงตู่” จะอยู่ครบวาระในช่วงปลายเดือน มี.ค. 2566 จึงจะมีการเลือกตั้งในต้นเดือนพ.ค.2566
แต่ดูท่าแล้ว นักการเมือง คงอยากเลือกตั้งในเร็ววัน ไม่น่าจะรอไหวให้รัฐบาล “ลุงตู่” อยู่จนครบวาระ
ขณะที่ “ลุงตู่” เองก็ต้องเตรียมความพร้อมด้วยเช่นกัน เพราะพรรคใหม่ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่ตั้งขึ้นมารองรับการเป็นนายกฯอีกสมัย ยังก่อร่างสร้างตัวไม่สมบูรณ์ วันๆมีแต่ข่าวดูด ส.ส.และถูกพรรคอื่นดูดกลับไปกลับมา
ถามว่าอย่างนี้ “ลุงตู่” จะเอาสมาธิที่ไหนบริหารราชการแผ่นดิน เพราะวันๆมีแต่เรื่องการเมืองวุ่นวายให้ปวดสมอง
แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะอยากอยู่ให้ครบวาระ เพื่อเทียบชั้น “ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อหลายปีก่อน แต่บรรยากาศกลับไม่เอื้ออำนวย
ดูอย่างการประชุมสภาที่ล่มทุกสัปดาห์ไม่มีเว้น ก็เห็นแล้วว่า การจะประคับประคองรัฐบาลไปให้สุดทางนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ “พล.อ.ประยุทธ์” เองก็ทราบดีว่า หากยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ การจะกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน

เรื่องที่ 1,641 โดนเสียบ้างก็ดี สะใจดีพิลึก เมื่อเอกชนไม่ไว้หน้ารัฐบาล ส้บเละเรื่องค่าไฟที่พุ่งสูง ล่าสุดสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ออกโรงระบุชัดแจ้งแดงแจ๋เลยว่า จากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) แสดงให้เห็นว่าสาเหตุหลักที่ค่าพลังงาน และค่าไฟฟ้าของประเทศไทยสูงกว่าตลาด เมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียง เกิดจากการที่ประเทศไทยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ (NG / LNG) มากเกินไป และยังขาดแผนสำรองที่ดีในการบริหารก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ส่งผลให้การผลิตก๊าซต้นทุนต่ำจากอ่าวไทยต่ำกว่าแผนมาก
อีกทั้งประเทศเมียนมาลดการส่งก๊าซลง ส่งผลให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวแบบสัญญาจร (Spot LNG) ที่มีราคาสูงมากกว่าก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเข้ามาเสริม แค่นี้ก็ว่ารัฐคงสะเทือนและเจ็บจี๊ดแล้ว แต่ ส.อ.ท. ยังลั่นต่ออีกด้วยว่า จากการคาดการณ์ความต้องการขาย (Demand) สูงเกินไป และการเปิดการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนมากเกินความจำเป็น จึงก่อให้เกิดความต้องการซื้อ (Supply) ของโรงไฟฟ้ามากกว่าความต้องการขาย (Demand) ถึง 52% ส่งผลให้เป็นภาระต้นทุนของประเทศไทยในระยะยาว
และอีกหนึ่งสาเหตุ คือ ประเทศไทยยังขาดกลไกตลาดเสรีของพลังงานและไฟฟ้าที่ยังไม่มี Third Party Access ที่เป็นการเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถใช้ระบบส่ง/จำหน่ายไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าผ่านสายส่ง/จำหน่ายของการไฟฟ้าทั้ง 3 หน่วยงานได้ โดนจัดหนัก จัดเต็มเข้าไปขนาดนี้ รัฐคงต้องรู้สึกอะไรบ้างแล้วล่ะ จะมาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้วโยนภาระให้ประชาชนตลอดไปก็ไม่ไหวมั๊งขอรับเจ้านาย

เรื่องที่ 1,642 ล่าสุด ผู้ว่าการ ยสท. “ภูมิจิตต์ พงษ์พันธุ์งาม” ออกมาประกาศแล้วว่า ยสท.มีผลดำเนินงานไม่ได้ติดลบ แถมยังมีกำไรอีกเล็กน้อย ประมาณ 200 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายบุหรี่ลดลง เหตุผลหลักคือ บุหรี่นอกราคาถูก ขายซองละ 70 บาท ขณะที่ของไทยขายราคา 66 บาท แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เห็นอย่างนี้แล้ว ใครจะเลือกของนอกรสนิยมสูง หรือเลือกของไทยรสนิยมต่ำกว่าเล็กน้อย ไม่ต้องพูดก็ทราบว่า ของนอกขายดีกว่าของไทยหลายเท่าตัวนัก
“ภูมิจิตต์” ยังกล่าวด้วยว่า มาร์เก็ตแชร์ หรือส่วนแบ่งการตลาดก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเดิมบุหรี่ไทยครองแชมป์ กวาดมาร์เก็ตแชร 80-90% ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 40% ไม่ถึง 50% แล้ว แถมยังโดนบุหรี่เถื่อนกระหน่ำอีกดอก เจอมรสุมหลายรอบแบบนี้ ยังรอดได้ ปีหน้ายังผงาดต่อนับว่าเก่งแล้วครับ

เรื่องที่ 1,643 ตั้งแต่เป็นอธิบดีกรมธนารักษ์ นักข่าวสายคลังอย่างพวกเราต่างรอเจอ “ท่านอธิบดีกรมธนารักษ์-จำเริญ โพธิยอด” ศุลการักษ์รุ่น 20 แถมยังเป็น “เด็กเพชร” อีกด้วย เมื่อพบถึงกับทึ่งในความสามารถ เพราะ “อธิบดีจำเริญ” ตอบได้ทุกเรื่อง ถามมาตอบไปไร้กังวล คุยกันนานสองนาน แซว “ท่านทิบ-ดี” นึกว่า อยู่มานาน 1 ปี ที่แท้เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ ยังไม่ถึง 3 เดือน สุดยอดจริงๆ ครับท่าน!!
โดยนพวัชร์