ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 6-7 ธ.ค.2565
เพื่อไทย พลังประชารัฐ ชิงพื้นที่สื่อกันน่าดู
เรื่องที่ 1,622 วันที่ 6 ธ.ค.65 การเมืองคึกคัก เมื่อ 2 พรรคใหญ่ จัดอีเว้นท์สำคัญชนกัน
เริ่มจากพรรคเพื่อไทย เปิดตัวแคมเปญ ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เปิด 10 นโยบายพลิกฟื้นประเทศ ปี 2570 โดยมีไฮไลท์ คือภายในปี 2570 คนไทยต้องได้ค่าแรงขั้นต่ำให้สมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย คือ ไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน เงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป
พรรคเพื่อไทย ยังประกาศดันอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศเติบโตอย่างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 5% ต่อปี
และเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดที่มีความพร้อม
ส่วนพรรคพลังประชารัฐ นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงเปิดตัว นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ เข้าร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐในฐานะทีมเศรษฐกิจ
มีเซอร์ไพรส์ คืออาจเสนอชื่อ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นหนึ่งในแคนดิเคตนายกรัฐมนตรีด้วย โดยในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคพลังประชารัฐ จะมี มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นหัวหอกในการเดินสายดีเบต
เรื่องที่ 1,623 ไม่รู้ว่าจะต้องดีใจหรือเสียใจดีเมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกับ พี่พงษ์ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานถึงประเด็นเรื่องของราคาน้ำมัน โดยพี่พงษ์ยืนยันว่าแม้ราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกจะมีแนวโน้มลดลง ทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถเรียกเก็บเงินสะสมเข้ากองทุนได้ประมาณ 3 บาทต่อลิตร แต่กระทรวงพลังงานจะไม่ลดราคาขายปลีกดีเซลในประเทศลงตาม โดยยังคงราคาดีเซลไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร
พี่พงษ์ให้เหตุผลว่า ยังมีการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตรเป็นการชดเชย โดยมองว่าราคาขายปลีกดีเซลของไทยที่ 34.94 บาทต่อลิตร ยังไม่แพงมากอยู่ในอันดับ 3-4 เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ถือว่าอยู่ในวิสัยที่ประคับประคองได้ เมื่อท่านรองเอ่ยออกมาแบบนี้ก็คงจะชัดเจนในทุกถ้อยคำ เพราะฉะนั้นชาวดีเซลก็คงต้องเติมราคานี้กันต่อไป ถือซะว่าที่ผ่านมารัฐบาลช่วยให้ไม่ต้องเติมราคาที่แพงไปมากกว่านี้ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องชดใช้คืนบ้างแล้วล่ะ
แต่ก็อยากให้เผื่อแผ่มาถึงชาวเบนซินบ้างนะขอรับเจ้านาย เพราะที่ผ่านมากลุ่มชาวเบนซินก็ถือว่าช่วยแบกภาระให้ไม่ใช่น้อย แม้พรุ่งนี้ (7 ธ.ค.) บางจาก ปตท. จะปรับราคาเบนซิน แก๊สโซฮอล์ลง 15-30 สตางค์ แต่ก็ดูจะยังน้อยเกินไปนะขอรับ
เรื่องที่ 1,624 มาแรงจริงๆ ต้องยกนิ้วให้ธนาคารไทยพาณิชย์ หาญกล้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝาก ล่าสุด ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำในอัตราสูงสุด 0.45% เพื่อสร้างผลตอบแทนเงินออม ขณะที่ ดอกเบี้ยเงินกู้ MLR MOR และ MRR ปรับขึ้นในอัตรา 0.125% – 0.25% มีผลวันที่ 7 ธ.ค.2565 เป็นต้นไป
ขณะที่ ธนาคารกรุงไทย ได้เพิ่มบริการให้ผู้พิการได้รับบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง โดยล่าสุดได้ให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าผู้พิการทางสายตาอย่างเป็นธรรม พร้อมตอบโจทย์กรอบเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของ UNDP ในด้านการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม (Reduce Inequality) หรือ Goal ที่ 10 โดยอำนวยความสะดวกในการเปิดบัญชีธนาคาร และการยืนยันตัวตน ดังนี้
- การยืนยันตัวตน
1. อำนวยความสะดวกให้ผู้พิการทางสายตา ใช้บัตรประชาชนเปิดบัญชีและทำธุรกรรมการเงินได้เช่นเดียวกับลูกค้าทั่วไป เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และความเป็นปัจจุบันของข้อมูล ผ่านการตรวจสอบสถานะบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ทางอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐ
2. ในกรณีที่บัตรประชาชนไม่สามารถ Dip Chip ได้ ลูกค้าสามารถใช้เอกสารอื่นประกอบ เช่น ทะเบียนบ้าน ใบขับขี่ หนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวคนพิการ
- การใช้พยานในการเปิดบัญชี
1. อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทางสายตา โดยให้พนักงานเป็นพยานให้ สำหรับกรณีที่ ผู้พิการไม่สะดวกนำพยานมาเอง ซึ่งพิจารณาตามความประสงค์ของลูกค้าเป็นหลัก
2. หากผู้พิการทางสายตาไม่สามารถเขียนหนังสือหรือลงลายมือชื่อ ธนาคารจะพิจารณาเลือกใช้วิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดทดแทนการลงลายมือชื่อ เช่น การพิมพ์ลายนิ้วมือ หรือ ทำแกงได (รอยกากบาท หรือรอยขีดเขียน ซึ่งบุคคลทำลงในเอกสารแทนลายมือชื่อ) หรือ ใช้ตราประทับ โดยให้พยานฝั่งใดก็ได้เป็นพยานรับรองรวมสองคน
เรื่องที่ 1,625 ล่าสุด “อมรเทพ จาวะลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่า ในปี 2565 ตลาดเงินตลาดทุนและภาพรวมเศรษฐกิจผ่านสิ่งเลวร้ายและความผันผวนมามาก แต่ปี 2566 ยังน่าห่วงกว่านี้ แท้จริงแล้วน่าจะถูกครึ่งเดียว ตรงที่ความเสี่ยงมีมากขึ้น ในมุมความเสี่ยงสารพัดในปี2566 น่าจะมีส่วนของความเสี่ยงในปีนี้ที่อาจรุนแรงขึ้น นั่นคือ
1.ปัญหาการรุกรานของรัสเซียในยูเครนที่ยืดเยื้อ จนกระทบห่วงโซ่อุปทานด้านอาหารสัตว์ ปุ๋ย รวมทั้งสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
2.ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้เงินเฟ้อจะปรับลดลง เฟดลดความร้อนแรงในการขึ้นดอกเบี้ย แต่อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีหน้าเพื่อคุมเงินเฟ้อให้ลดลงในกรอบให้ได้ จนเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยแรงกว่าคาด
3.จีนล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ต่อเนื่องตามมาตรการ Zero-Covid แต่รอบนี้มีการประท้วงในหลายเมือง ซึ่งสะท้อนความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายนี้ ขณะที่รัฐบาลจีนยังไม่มีท่าทีผ่อนปรน หากสถานการณ์ยืดเยื้อก็น่าจะกระทบอุปสงค์ในประเทศจีน โดยฉพาะต้องติดตามว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะมีปัญหา จนฟองสบู่แตก ราคาที่ดินร่วงหรือไม่ เพราะจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาหนี้ที่สูงในภาคส่วนนี้ รวมทั้งทำให้ห่วงโซ่การผลิตชะงัก และอาจจะส่งผลให้การส่งออกและการผลิตในประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบตามมาด้วยเนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วนวัตถุดิบจากจีน
ทั้งนี้ ความเสี่ยงทั้ง 3 ยังไม่น่าหายไปในช่วงต้นปี 2566 และอาจมีความเสี่ยงอื่นๆ ตามมา คือ
4.วิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป โดยเฉพาะในประเทศที่มีหนี้ภาครัฐสูง เช่น อิตาลี หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นจนนักลงทุนกังวลปัญหาการผิดนัดชำระหนี้เช่นในอดีต แม้ทางธนาคารกลางยุโรปจะมีมาตรการรับมือ แต่หากยูโรโซนเผชิญปัญหาเศรษฐกิจถดถอยท่ามกลางเงินเฟ้อที่พุ่งสูง
5.วิกฤติตลาดเกิดใหม่ สืบเนื่องจากปีนี้ ที่หลายประเทศกำลังเผชิญความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะเมื่อเงินสำรองระหว่างประเทศลดลงเร็วจากรายจ่ายด้านน้ำมันและเงินโอนออกนอกประเทศ ขณะที่รายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวหดหาย ปัญหานี้อาจขยายวงได้อีกครั้ง เสมือนใครจะเป็นโดมิโนรายต่อไปที่จะล้ม
6.โควิดกลายพันธุ์ แพร่ได้เร็ว หลบภูมิคุ้มกัน แม้อาการไม่รุนแรง แต่จะส่งผลให้มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขมีปัญหา รัฐบาลอาจต้องจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้ออาจกระทบความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านท่องเที่ยว รวมทั้งอาจกระทบภาคการผลิต ซึ่งจะมีผลให้ห่วงโซ่อุปทานมีปัญหากระทบการส่งออกได้
โดยนพวัชร์