ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 17-18 ส.ค.2565
“วทันยา วงษ์โอภาสี” หรือ “วทันยา บุนนาค” หรือฉายา “มาดามเดียร์” ตัดสินใจลาออกจาก ส.ส. บัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคพลังประชารัฐ อ้างว่าไม่พอใจกับการเล่นเกมการเมืองมากเกินไปของพรรคต้นสังกัด
เรื่องที่ 1,328 เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์ งานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ รุ่นที่ 61 ได้รับฉายา “มาดามเดียร์” หลังได้รับแต่งตั้งจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้เป็นผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี
ปี 2561 “มาดามเดียร์” ได้ตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติ โดยสมัครเป็นสมาชิกพรรคของพลังประชารัฐ ( พปชร.) ทั้งนี้หลังจากการเลือกตั้งในปี 2562 และภายหลังการเลือกตั้งซ่อม เขตเลือกตั้งที่ 8 จ.เชียงใหม่ โดย พรรคพลังประชารัฐได้รับ 27,861 คะแนน ทำให้พรรคพลังประชารัฐได้ส.ส. บัญชีรายชื่อเพิ่ม 1 คน ดังนั้น “มาดามเดียร์” ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 19 จึงเลื่อนเป็นส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อนั่นเอง
บาทบาททางการเมือง ในฐานะ ส.ส. ก็เรียกได้เป็นหน้าใหม่ที่ถูกจับตามอง ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ในปี 2564 คือ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย โดยใช้เหตุผลว่า “ตลอดการอภิปรายและการชี้แจง ไม่พบคำชี้แจงที่ชัดเจนเพียงพอ ในการตอบคำอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน และทำให้สังคมตั้งข้อกังขา ทั้งในเรื่องการเปลี่ยนเงื่อนไขและการล้มการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และข้ออภิปรายเรื่องการไม่ปกป้อง หรือเรียกคืนที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ในพื้นที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นที่ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจน”
“มาดามเดียร์” ยืนยันจะยังอยู่ในเส้นทางการเมืองต่อไป ส่วนจะอยู่พรรคไหนนั้น ต้องรอดูกันอีกที
เรื่องที่ 1,329 ควันหลงจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ กับวาระลับร่าง พ.ร.ก.ให้กระทรวงการคลังค้ำประกันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกู้เงิน แก้วิกฤต 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งกำลังเป็นที่โจษจันกันในขณะนี้ ล่าสุดเจอตัว “รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์” จะไม่ถามก็คงไม่ได้ โดยท่านรองเองก็ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นวาระลับ ตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ หลังผ่านการเห็นชอบจากครม. ตามปกติของวิธีการเสนอกฎหมายที่เป็น พ.ร.ก. ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ก็มีผลบังคับใช้ โดยสามารถกู้เงินได้ทันที ซึ่ง ณ ตอนนี้เมื่อยังอยู่ในสมัยประชุมสามัญของรัฐสภา ก็ต้องนำเสนอเข้าไปให้สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา พิจารณาด้วย อย่างไรก็ดี “รองพงษ์” เชื่อว่าการดำเนินการทั้งหมดนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“รองพงษ์” ยังบอกเหตุผลด้วยว่า ตอนนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวในต่างประเทศแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ราคาจะเป็นยังไงต่อ ดังนั้นเพื่อให้กองทุนน้ำมันได้ดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ของตัวเองในการช่วยเหลือดูแลประชาชนได้ต่อไป ก็ต้องเร่งทำเรื่องนี้โดยเร็ว ซึ่งที่ผ่านมาก็พยายามทุกวิถีทางแล้วในการสร้างสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมัน จนมาเป็นพ.ร.ก.ฉบับนี้ ส่วนจะกู้เต็มกรอบวงเงิน 1.5 แสนล้านบาทเลยหรือไม่นั้น เรื่องนี้เป็นรายละเอียด แถมเป็นวาระลับที่คุยใน ครม. คงบอกทั้งหมดไม่ได้ แต่เชื่อว่าการกู้เงินคงไม่ได้กู้เงินทันทีเลยในครั้งเดียว เพราะคงต้องทยอยกู้ตามความเหมาะสม เพื่อใช้ทั้งหนี้เดิม และสำรองเอาไว้ใช้ในช่วงต่อไป คำตอบจากท่านรองก็พอช่วยให้คลายความสงสัยลงไปได้บ้าง แต่ต่อให้เป็นวาระลับขนาดไหน ประชาชนเค้าก็ต้องการทราบความชัดเจนนะขอรับเจ้านาย เงินไม่ใช่น้อยๆเลยครับผม
เรื่องที่ 1,330 สุดท้ายแล้ว หนี้ตามพ.ร.ก.เงินกู้ 150,000 ล้านบาทเพื่ออุดหนุนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น หาใช่หนี้ของกระทรวงพลังงานหรือกระทรวงการคลัง แต่หนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือ หนี้ของพวกเราคนไทยทั้งมวล ไม่ใช้ชาตินี้ เพราะใช้หนี้ไม่หมด หรือจะยกไปเป็นชาติหน้าก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจ แต่เมื่อฟังคำพูดของ รมว.คลัง “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” แล้ว เข้าใจลึกซึ้งในฐานะผู้กุมบังเหียนด้านเศรษฐกิจ ฝากกระซิบไปถึงกระทรวงพลังงาน หากนึกจะเบิกจ่าย หรือจะใช้เงินในแต่ละครั้งก็ขอพิจารณาให้รอบคอบ และอย่าเบิกเงินมากองไว้ตรงหน้า ไม่เช่นนั้น ดอกเบี้ยจะเพิ่มพูนกินหัวกระบาลคนไทยทั้งประเทศ
เรื่องที่ 1,331 ช่วงนี้ กระทรวงการคลังตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะโครงการคนละครึ่งเฟส5 หรือการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ที่กำลังจะเริ่มวันที่ 5 ก.ย.นี้ แต่เป็นผลของการคำนวณตัวเลขข้าราชการรุ่นใหม่ อายุต่ำกว่า 50 และ 50 กว่า กำลังลุ้นขึ้นเป็นผู้ตรวจราชการและรองปลัดกระทรวงการคลังกันเยอะมากๆ นี่ยังไม่นับรุ่น 13-14 (2513-2514) ที่นั่งเป็นอธิบดีอยู่หลายกรมในกระทรวงการคลังอยู่แล้ว ถ้าหากนับรวมก็เกือบๆ 10 คน ประกอบด้วย เอก พชร อุ๋ย 3 ท่านนี้ นั่งลอยลมเป็นที่เรียบร้อย ส่วนที่เหลือเช่น “หน่องและต้อง” 2 ท่านนี้ เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รุ่น15-16 รวมเป็น 5 ท่าน
แถมยังมีคนรุ่นใหม่ที่พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ตรวจอีกหลายคน ทั้งจากกรมธนารักษ์ กรมบัญชีกลาง สบน.และสคร.ส่วนจะเป็นใครนั้น “ไม่รู้…” แต่ที่แน่ๆ ปีนี้ 3 กรมภาษี ยังไม่มีใครอยากลงชิงเป็นผู้ตรวจฯ สักราย
ส่วนคนรุ่น06 (2506) ไม่ต้องเสียใจ เดินตามรอยปลัดพี่ตู่อย่างเดียว ขออีกทำหน้าที่เต็ม100% ปีหน้าเกษียณแล้วครับผม ขณะที่กลุ่มอายุน้อยลดหลั่นลงไปตั้งแต่ 07 08 09 10 11 และ12 ยังมีอีกหลายคนน่าจับตามอง เช่น อธิบดีแดดเดียว (ปีเดียวเกษียณ) รวมถึงตำแหน่งว่าที่ปลัดกระทรวงการคลังคนใหม่ กำลังลุ้นว่า “หวย” จะไปออกที่ใคร
ปีนี้ตื่นเต้นสุดๆ แต่ปีหน้าตื่นเต้นกว่าหลายเท่าตัวครับผม
โดยนพวัชร์