ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 9-10 ก.พ.2565
“ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย 7 รัฐมนตรีประท้วง ไม่ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดย 7 รัฐมนตรีมาจากพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียวรวด นำโดย “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรค และ ”เสี่ยโอ๋-ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรค นำรัฐมนตรีในพรรคบอยคอตประชุม ครม.คัดค้านการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวอีก 40 ปี”
เรื่องที่ 788 ประเด็นนี้ ชักเข้า-ชักออกจากการประชุม ครม.หลายครั้งแล้ว โดยเป็นเรื่องที่ดำเนินการมาตั้งแต่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่เมื่อมีการเลือกตั้งพรรคภูมิใจไทยได้คุมกระทรวงคมนาคม กลับไม่เห็นด้วยกับการขยายสัมปทานดังกล่าว โดยอ้างเรื่องข้อกฎหมายที่หากขยายแล้วจะพาซวยภายหลัง
พรรคภูมิใจไทย แสดงความคัดค้านในที่ประชุม ครม.มาโดยตลอด จนกระทั่งล่าสุดจึงงัดไม้เด็ด ไม่ร่วมประชุม ครม.
ข่าววงในบอกว่า “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ออกอาการเหน็บแนมรัฐมนตรีภูมิใจไทยกลางห้องประชุม ครม.ว่า “วันนี้ทำให้ได้เห็นว่าใครเป็นใคร” นอกจากนี้ บิ๊กตู่ ยังกล่าวว่า “ขอบคุณทุกคนที่อยู่ในห้องนี้”
จับตาความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาล ระส่ำย่ำแย่กว่าเดิมแน่นอน
เรื่องที่ 789 พูดตรงพูดชัดต้องยกให้เลยเหมือนกันสำหรับ “สุพันธ์ มงคลสุธี” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่วันนี้ (9 ก.พ.) ให้ความเห็นเรื่องการเมืองแบบไม่มีกั๊กเลยว่า ถ้ามีการยุบสภาจริงก็คงดี ตรงใจภาคเอกชน เพราะเวลานี้สถานการณ์ล่าสุดทางการเมืองลำบากมากขึ้น สภาฯ ล่มบ่อย ครม.เองก็มีปัญหา ความชัดเจนไม่ค่อยชัดเจน แต่เลือกตั้งแล้วอยากเห็นความเป็นเอกภาพทางการเมือง รัฐบาลใหม่ทำได้แค่ครึ่งหนึ่งจากที่หาเสียงไว้ก็พอ
ตอนนี้การพึ่งพารัฐลำบากมาก เรียกว่าที่มีก็ไม่มีเอกภาพ ถ้ามีเอกภาพได้ก็ดี โอกาสการเลือกตั้ง ทำให้รัฐบาลมีเอกภาพ มีการล้างไพ่ใหม่ ซึ่งหลายๆ ท่านปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ มีคนใหม่ๆ เข้ามา น่าจะส่งผลดีต่อภาคประชาชน ภาคเศรษฐกิจ คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว ถ้าเลือกตั้งใหม่เวลานี้เอกชนก็จะก้มหน้าก้มตาสู้ต่อไป ก็ได้แต่หวังว่าคุณสุพันธ์คงไม่โดนเรียกเข้าไปปรับทัศนคตินะขอรับ เพราะดูแล้วคำตอบน่าจะถูกใจคนเกินครึ่งประเทศในเวลานี้
เรื่องที่ 790 ฟังการแถลงผลการประชุมกนง.แล้ว ขนลุก ที่ไม่กลัวไม่ใช่เรื่องดอกเบี้ยนโยบาย เพราะสำนักวิเคราะห์ตั้งแต่แบงก์เล็ก มาถึง 5 แบงก์ใหญ่ และรวมทุกสถาบันความรู้จากทุกมหาวิทยาลัย ฟันธง!! ตั้งนานแล้ว กนง.ไม่ขึ้นดอกเบี้ยหรอก แต่คงไว้ 0.50% อย่างแน่นอน ถ้าจะเอากันจริงๆ ปีนี้ ถ้านายแน่มากก็ขึ้นได้เพียงครั้งเดียวช่วงปลายปี เนื่องจากสภาพคล่องที่ล้นท่วมธนาคาร สินเชื่อหดตัวปล่อยได้น้อย รัฐบาล-เอกชนไม่ได้ลงทุนในโครงการขนาดใหญ่
แต่ที่น่าห่วงคือ “อัตราเงินเฟ้อ” ต้นเหตุจากราคาน้ำมันและอาหารสด พุ่งทะยาน คาดว่า เงินเฟ้อทะลุเกิน 3% ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ กลายเป็นโจรปล้นเงียบดูดเงินจากระเป๋าทุกๆ วัน สิ่งนี้ น่ากลัวที่สุด เพราะลำพังเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวจากพิษโควิดก็แย่อยู่แล้ว ยังมาเจอข้าวของแพงทั้งแผ่นดินแบบนี้ ชีวิตคนไทยคงอยู่ยากมากขึ้นทุกวัน
เรื่องที่ 791 ขอชื่นชม “ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร” เอ็มดีของ ธสน. หรือเอ็กซิมแบงก์ โชว์ผลงานสร้างกำไรให้กับธนาคาร 1,531 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 สาหัสอย่างที่เรารู้ๆ กัน นอกจากนี้ ยังจะดันผู้ส่งออกที่เป็นเอสเอ็มอี จากเดิมเพิ่มขึ้นเต็มที่ ปีละ 500 ราย ขยับขึ้น 5 เท่า หรือปีละ 2,500 ราย งานนี้ ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า บทบาทของ ธสน.จากธนาคารเพื่อการพัฒนา และแบงก์รัฐดูแลผู้ส่งออก ที่ถูกทอดทิ้งจากสถาบันการเงินเอกชน ณ วันนี้ จะพลิกโฉมภายใต้ Thailand Game Changer “รักษ์” ก็จะเปลี่ยนเอ็กซิม แบงก์ ด้วยเหมือนกัน
โดยผลการดำเนินงานปีที่แล้ว มียอดสินเชื่อคงค้าง 152,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12.97% สูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินงานเมื่อปี 2537 ซึ่งในจำนวนนี้ แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการลงทุน 112,514 ล้านบาท และสินเชื่อการค้า 40,259 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2567 จะวางรากฐานเพื่อดันยอดสินเชื่อคงค้างขึ้นไปแตะ 200,000 ล้านบาท
แต่พูดเป็นนัยว่า เมื่อถึงเวลานั้น ต้องให้เอ็มดีใหม่มาสานงานที่วางไว้ เนื่องจาก “รักษ์” นั่งเก้าอี้เอ็มดีครบ 4 ปี ในปี 2567 พอดี ส่วนงานใหม่ในฐานะเอ็มดีแบงก์รัฐลำดับต่อไป จะนั่งที่ไหนต้องถามรุ่นพี่อย่าง “ฉัตรชัย ศิริไล” เอ็มดี ธอส.ก่อนนะน้องรักษ์
โดยนพวัชร์