ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 5-6 ม.ค.2564
“สำหรับพรรคเพื่อไทย มีเรื่องให้ร้องยุบพรรคมิได้หยุดหย่อนกันจริงๆ ล่าสุด “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีตคนคุ้นเคย ที่ตอนนี้ย้ายสังกัดไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ ได้ร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบกรณีที่ “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ออกมาบอกว่าถูกปลดออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย จากคำสั่งของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี”
เรื่องที่ 665 ประเด็นข่าวข้างต้น เกิดขึ้นเมื่อ 2 วันก่อน อยู่ดีๆ “พล.อ.พัลลภ” ออกมาบอกว่าถูกปลดออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย เนื่องจากคำสั่งของนายใหญ่ “ทักษิณ ชินวัตร” และตนเองก็ไม่ทราบเหตุผลว่า เพราะอะไรถึงโดนปลดออกจากสมาชิกพรรค ทั้งที่ช่วยงานพรรคมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น งานบนดินหรือใต้ดิน ก็ช่วยเหลือโดยไม่เกี่ยง
คำพูดดังกล่าว ทำให้ถูกมองว่า “ทักษิณ” ซึ่งเป็นคนนอกพรรค ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับพรรค และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะขัดกับพ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่ห้ามคนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการดำเนินงานของพรรค มิเช่นนั้นอาจจะถูกยุบพรรคได้
ร้อนถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” ที่ต้องออกมาบอกว่า “พล.อ.พัลลภ” เข้าใจผิดแล้ว เพื่อไทยไม่มีการปลดท่านออกจากสมาชิกพรรคแต่อย่างใดและระเบียบหรือข้อบังคับพรรค ก็ไม่มีบทบัญญัติใดที่ผู้บริหารพรรคจะสามารถปลดสมาชิกออกจากพรรคได้
เรื่องนี้จึงทำให้ทักษิณ มองว่า “มีบางคนได้ประโยชน์ ถ้าพรรคเพื่อไทยถูกยุบ มีพรรคได้ประโยชน์อยู่”
เรื่องที่ 666 เลขสวยเฉยๆ ไม่ได้ใบ้หวยนะ!! ถือเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ต้องชื่นชมสำหรับกลุ่ม ปตท. (บมจ. ปตท. และบริษัทในเครือ) เพราะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ไม่รีรอที่จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือประชาชนในแนวทางที่สามารถทำได้ภายใต้โครงการ “ลมหายใจเดียวกัน” และที่ไปสนับสนุนหน่วยงานอื่นระลอกแล้วระลอกเล่า จนมาถึงระลอกปัจจุบันอย่างเจ้า “โอมิครอน” (Omicron) ซีอีโอแห่งยุคอย่าง “พี่โด่ง-อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ก็ประกาศเสียงดังฟังชัดว่าจะยังคงยืนหยัดดำเนินโครงการลมหายใจเดียวกันต่อไป โดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ไปจนกว่าสถานการณ์โรคระบาดจะคลี่คลาย ซึ่งนับเป็นวงเงินที่ใช้ในการช่วยเหลือประชาชนก็รวมๆ แล้วกว่า 1,850 ล้านบาท บก.ชวนคุยต้องขอปรบมือให้ดังๆไปเลยจ้า
เรื่องที่ 667 เมื่อหัวเรือใหญ่เจ้ากระทรวงอุตสาหกรรม “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ขยับตั้งแต่เริ่มทำงานวันแรก หน่วยงานภายในกระทรวงฯ จะอืดอาดเป็นเรือเกลืออยู่ก็คงจะไม่ใช่ ล่าสุดกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) หรือที่เปลี่ยนชื่อให้เรียกว่าดีพร้อมก็เดินหน้าขานรับมาตรการกระทรวงอุตสาหกรรมในการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ รุกจัดกิจกรรม DIPROM MOTOR SHOW ที่เมืองลำปาง เพื่อสร้างมูลค่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในระดับภูมิภาค พร้อมทั้งผลักดันให้มีการจัดนิทรรศการและงานแฟร์ได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว หัวขยับลำตัวกระดิกตามแบบนี้งานของกระทรวงอุตสาหกรรมปีนี้คงน่าดูชม และน่าติดตามเชียวแหละ
เรื่องที่ 668 กระทรวงการคลังเวลานี้ เงียบสนิท!! ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี ตั้งแต่ปี จนถึงวันนี้ (5 ม.ค.) มีข้าราชการกระทรวง การคลัง เข้าทำงานที่คลัง ไม่ถึง 10% แหล่งช้อปปิ้งหลังกระทรวง หรือซอยละลายทรัพย์ พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ช่วงนี้ ผมเลยอดกินก๋วยเตี๋ยวเรือ “น้าชู” ไปด้วย
ส่วนประเด็นข่าวนอกกระทรวงการคลัง เรื่องที่ 669 ล่าสุด บสย.ได้เอ็มดีใหม่เป็นที่เรียบร้อย รายงานตัวและพร้อมทำงาน100% แล้วครับ ชื่อนี้ คนนี้ “สิทธิกร ดิเรกสุนทร” หรือ “กร” จำให้ดีอายุยังน้อยเพียง 46 ปีเท่านั้น อนาคตยังอีกยาวไกล
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท 2 สาขา ได้แก่ สาขาการดำเนินธุรกิจขั้นสูง จาก UNIVERSITY OF SOUTH AUSTRALIA และวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ (MS-CIS)) จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และระดับปริญญาตรี บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (BBA-Business Computer) จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ประสบการณ์การทำงาน รับผิดชอบงานในตำแหน่งสำคัญจากสถาบันการเงินหลายแห่ง ได้แก่ รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM THAILAND) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารกลุ่ม กลุ่มธุรกิจภาครัฐ สายงานธุรกิจภาครัฐ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารกลุ่มลูกค้าภาครัฐ และสถาบันการศึกษา สายงานธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) นักวิจัยอาวุโส และ ผู้จัดการงานเทคโนโลยีสารสนเทศ มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) โดยล่าสุด ดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ จาก EXIM THAILAND ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
ข่าวใหญ่ เรื่องที่ 670 มติ ครม.เมื่อวันอังคาร (4ม.ค.) ไฟเขียวกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี2565 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำนวน 3,185,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณก่อนหน้านี้ 85,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.74% เห็นแล้ว อดห่วงฐานะการคลังของประเทศไม่ได้ เพราะตลอดหลายสิบปี หรือกว่า 20 ปีที่ผ่านมา กรอบวงเงินงบประมาณของประเทศไทย สูงกว่า หรืออยู่ในอัตราระดับเดียวกับจีดีพี น้อยนักจะเห็นอัตราการเพิ่มขึ้นของเงินงบประมาณต่ำกว่าจีดีพี ที่สำคัญ หลายคนได้มองข้ามคือ งบรายจ่ายลงทุน มีเพียง 695,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณก่อนหน้า เพียง 83,066.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13.57% คิดเป็นสัดส่วนเพียง 21.82% ของวงเงินงบประมาณ ยังไม่ถึง 25% ของวงเงินรวมงบประมาณ เห็นอย่างนี้แล้ว คงพอที่เดาออกว่า ปีนี้ งบประมาณกาแฟ ขนมเบรก ประชุมได้ไม่ถึง10 ครั้ง อธิบดี หรือแม้แต่ปลัดต้องควักเงินจ่ายเองแล้วครับ
โดยนพวัชร์