ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 9-10 ธ.ค. 2564
“การดื้อรั้น เดินหน้าโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ อ.จะนะ จ.สงขลา ดีไม่ดีอาจเป็นหายนะของรัฐบาล เพราะประเมินจากการที่รัฐบาลสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่มจะนะรักถิ่น เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง ว่าไม่สมเหตุสมผลกับการสลายการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ แม้จะอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ตาม แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่มีมาตราใด ที่ไฟเขียวให้สลายการชุมนุม”
เรื่องที่ 586 บวกกับท่าทีของรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีท่าทีแสดงออกอย่างชัดเจนว่า จะผลักดันให้นิคมอุตสาห กรรมจะนะเกิดขึ้นให้ได้ และทำเสมือนว่าประชาชนที่ออกมาต่อต้านนั้น ไม่เข้าใจสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำหรือกล่าวหาว่าประชาชนรับฟังข้อมูลข่าวสารที่คลาดเคลื่อนบิดเบือนจากข้อเท็จจริง ยิ่งทำให้อารมณ์โกรธของฝ่ายต่อต้านเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
กระนั้นก็ไม่น่าแปลกใจในท่าทีของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้มาจากเสียงของประชาชนโดยตรง ไม่เห็นว่าเสียงสะท้อนหรือความคิดเห็นของประชาชนนั้น มีความสำคัญหรือมีความหมายอย่างไร โดยท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้เห็นว่า เป็นการประเมินผู้ชุมนุมต่ำไป
แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า พื้นที่ภาคใต้โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลานั้น เป็นฐานเสียงของพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน และเมื่อใดก็ตามที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสงขลาไม่พอใจ เมื่อนั้นรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็อาจอยู่ไม่ได้ด้วยเช่นกัน
เรื่องที่ 587 บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เดินแผนรุกธุรกิจพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง เมื่อเร็วๆนี้ก็ได้ส่ง บริษัท BRE Singapore Pte. Ltd (BRES) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่บ้านปูถือหุ้น 50% ไปลงทุนโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ฮาติ๋ญ (Ha Tinh) กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ ในจังหวัดฮาติ๋ญ (Ha Tinh) ประเทศเวียดนาม ตามแผน “สมฤดี ชัยมงคล” ซีอีโอ บ้านปู บอก หากไม่เกิดเหตุการณ์เอ็กซิเดนท์ ไตรมาสแรกปี 2565 น่าจะ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย เพื่อเข้าซื้อกิจการในอัตรา 100% ของ Ha Tinh Solar Power Joint Stock Company ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน เชิงกลยุทธ์ในพลังงานที่สะอาดขึ้น เพื่อก้าวสู่เป้าหมายที่บริษัทฯ จะมี EBITDA มากกว่า 50% จากธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานภายในปี 2568
“สมฤดี ชัยมงคล” บอกอีกว่า ตลอดปี 2564 ที่ผ่านมา บ้านปูประสบความสำเร็จในการขยายพอร์ตพลังงาน ด้วยการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วอย่างต่อเนื่องทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้า Nakoso IGCC ในญี่ปุ่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เบอริล (Beryl) และมานิลดรา (Manildra) ในออสเตรเลีย โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ CCGT “Temple I” ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกาและล่าสุด ก็โรงไฟฟ้าพลัง งานแสงอาทิตย์ฮาติ๋ญ ในเวียดนาม
เห็นธุรกิจพลังงานสะอาดของภาคเอกชนก้าวหน้า ก็พลอยดีใจไปด้วย แต่เมื่อกลับมามองดูโครงการพลังงานสะอาดของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการโซลาร์ภาคประชาชนของกระทรวงพลังงาน ก็เศร้าใจทุกที
เรื่องที่ 588 เพราะไม่มีวี่แววว่าจะเดินหน้าเหมือนกับภาคเอกชนเอาเสียเลย นี้ขนาด คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบให้เพิ่มราคาขายไฟฟ้าเข้าระบบจาก 1.68 บาท เป็น 2.20 บาท/kWh ก็ยังไม่มีใครสนใจ 2 ปี ที่เปิดโครงการ ปรากฏว่า มีผู้เข้ารับสมัครต่ำกว่าเป้า น้อยมาก กระจุ๋มจิ๋ม กระจิดริด เหลือเกิน ปี 2563 เป้ารับซื้อไฟฟ้า 50 แต่ได้ไปแค่ 3 เมกะวัตต์ ส่วนปี 2654 ยังไม่ได้สรุป แต่วงในบอกว่าอาจจะไม่ถึง 3 เมกะวัตต์ แล้วจะทำไงดี จะเดินต่อหรือพอแค่นี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ควรเร่งพิจารณา
ยังไม่จบง่ายๆ เรื่องที่ 589 ฟังกกร.แล้วอึ้ง !! กรณีสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กำหนดให้เก็บอัตราดอก เบี้ยเช่าซื้อรถยนต์ หรือลิสซิ่ง สูง สุดไม่เกิน 20% ต่อปี คนไทยนับล้านๆ คน น่าจะได้ประโยชน์ แต่ กกร.มาจากฝั่งเอกชน บอกว่า ไม่ได้ อัตราดอกเบี้ย 20% ต่อปีนั้น ต่ำไปไม่คุ้มค่าความเสี่ยง ขอปรับขึ้นชนเพดานสูงสุดไม่เกิน 36% สำหรับรถจักรยานยนต์มือ 1 และรถจักรยานยนต์มือ 2 ขณะที่ก่อนหน้านี้ ธนาคารออมสินประกาศจัดลิสซิ่งรถจักร ยานยนต์ อัตราดอกเบี้นไม่เกิน 20% ต่อปี ยังทำได้ โดย กกร.อ้างว่า “ออมสิน รัฐบาลเป็นประกัน” เรื่องนี้ จึงยังต้องลุ้นกันอีกยาว เพราะกฎหมายใหม่ของ สคบ.จะเปิดประชาพิจารณ์รอบที่ 2 เป็นครั้งสุดท้าย วันที่ 16 ธ.ค.นี้ ถ้าไม่มีใครถ่วงน้ำหนัก หรือกดแช่เรื่องนี้ ต้องชื่นชม สคบ. ที่รักคนจน ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ เค้าดูแลแต่คนรวย และเจ้าของกิจการเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ มีเรื่องร้องเรียนทำนองดังกล่าว แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากใครเลย
โดยนพวัชร์