ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 12-13 พ.ย.2564
“วันที่ 13 พ.ย.นี้ งานใหญ่ จัดโดยสำนักข่าวเออีซี 10 นิวส์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปี ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 6 ณ โรงแรมมิลาเคิล หัวที่เราตั้งประเด็นในครั้งนี้ คือ “อนาคต Ride-Hailing หลังไทยเปิดประเทศ เพื่อขับเคลื่อน Thailand 4.0” ขณะนี้ พร้อมแล้วกว่า 90% อีก 10% ที่มีความสำคัญที่สุด และยังเป็นหัวใจของงานนี้คือ แฟนๆ พันธุ์แท้ของสำนักข่าวเออีซี 10 นิวส์ “
ดังนั้น วันนี้ (13 พ.ย.) เวลา 10.30-11.30 LIVE สด ผ่าน facebook ร่วมลุ้นชิงรางวัลทองคำ 1 บาท มูลค่ากว่า 28,000 บาท
เรื่องที่ 479 การเมืองช่วงนี้ เป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายก้าวหน้าและกลุ่มอนุรักษ์ อย่างเห็นได้ชัด
โดยฝ่ายก้าวหน้านำโดยพรรคเพื่อไทย ก้าวไกล ร่วมด้วยพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภา และการชุมนุมของเด็กและเยาชนนอกสภา
ส่วนฝ่ายอนุรักษ์ นำโดยพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาล และกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านการชุมนุมของนักศึกษา
ระหว่างนี้เราจะเห็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มอนุรักษ์มากขึ้น เช่น การปล่อยเพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” เพลงเก่าของสุนทราภรณ์ ที่เอามาร้องใหม่ โดยศิลปินที่สนับสนุนรัฐบาล
เราจะเห็น พล.อ.ประยุทธ์ ขับร้องเพลงนี้ในหลายโอกาส เช่นล่าสุดไปเปิดหลักสูตร วปอ. รุ่นที่ 64 พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังนำร้องเพลงนี้กับนักศึกษา วปอ. นั่นทำให้เห็นว่าการปล่อยเพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” เวอร์ชั่น 2564 มีความเกี่ยวโยงกับรัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้ขอนักศึกษา วปอ.ให้แสดงความกล้าหาญ ด้วยการยืนในโรงภาพยนตร์ โดยบอกว่า เหมือนกับคนที่อยากยืน ไม่กล้ายืน เพราะถูกบูลลี่
เหล่านี้เป็นความเคลื่อนไหวของฝ่ายอนุรักษ์ ที่แม้จะมีกำลังที่เหนือกว่า แต่ก็ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของกระแสแห่งยุคสมัย
เรื่องที่ 480 แม้ราคาก๊าซธรรมชาติปีนี้จะเพิ่มขึ้น 14 % เป็น 268 บาทต่อล้านบีทียู แต่ก็ไม่มีผลต่อรายได้ของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ..ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมายังมี กำไรเพิ่มขึ้น 6% อยู่ที่ 2,228 ล้านบาท จากการขายไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทย ที่เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 21%
“ฮาราลด์ ลิงค์” บอก แม้รายได้ส่วนใหญ่ของ บี.กริม จะไม่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติ แต่เพื่อความไม่ประมาท เพราะช่วงนี้ แนวโน้มราคาพลังงานเป็นช่วงขาขึ้น จึงต้องเตรียมกลยุทธ์เพื่อรับมือ ทั้งการเข้าซื้อโครงการเพิ่มเติมเพื่อรับรู้กำไรทันทีในปีหน้า และแผนการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ตั้งเป้าในปี 2565 จะประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้อย่างน้อย 100 ล้านบาท และเปิดขายไฟอีก 5 โครงการ รวมทั้งจะนำเข้าก๊าซธรรมชาติ หรือ LNG ตามแผน ก็น่าจะทำให้ผลประกอบการปีหน้าน่าจะพอมีกำไรเพิ่มขึ้น…เห็นกลยุทธ์การบริหารของท่านประธาน “ฮาราลด์ ลิงค์” ผู้ถือหุ้นน่าจะบอกได้คำเดียวว่า “สบายใจ”..
เรื่องที่ 481 กฟผ. ชวนคนไทยท่องโลกพลังงานไฟฟ้าง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว..เพียงแค่คลิ๊กเข้าไปที่ เว็บไซต์ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. http://learningcenter.egat.co.th ก็จะพบกับนิทรรศการ ในรูปแบบเสมือนจริง 360 องศา ที่ให้ความรู้ด้านพลังงานไฟฟ้า นวัตกรรม และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมีเกมให้เล่น สนุกๆเอาใจน้องๆหนูๆ ได้สะสมแต้มแลกรับของที่ระลึกและสิทธิพิเศษอื่น ๆอีกมากมาย ใครที่สนใจอย่างเรียนรู้หากประสบการณ์ด้านพลังงานก็คลิ๊กเข้าไปได้เลย..ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง..
เรื่องที่ 482 วันก่อนได้ไปร่วมงานแถลงข่าวที่กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ลงนามสัญญาจ้างบริการถอดรหัสพันธุกรรม ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานคณะกรรม การนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC มูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ที่จะนำไปสู่การถอดรหัสพันธุกรรม จากอาสาสมัครคนไทยจำนวน 50,000 คน
งานนี้ คนยิ้มแก้มปริ ไม่ใช่ฝั่งกระทรวงสาธารณะสุข แต่เป็น “ดร.คณิศ แสงสุพรรณ” เลขาธิการ อีอีซี เพราะพยายามผลักดันเรื่องนี้ มานาน โดยเฉพาะจีโนมิกส์ อีอีซีมั่นใจว่า จะสร้างแรงดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนทางการรักษาพยาบาล ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะในพื้นที่ของอีอีซีเท่านั้น แต่การลงทุนดังกล่าว ยังหมายถึงปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาโรค จากปัจจุบันเมื่อเกิดการเจ็บป่วยทุกคนต้องไปพบแพทย์และเข้าโรงพยาบาล
แต่หากจีโมมิกส์ดำเนินการเสร็จเรียบร้อย “ดร.คณิศ” ยืนยันว่า แพทย์จะพอทราบความเสี่ยงในอนาคตของเรา อาจเป็น 10 หรือ 20 ปี ร่างกายของเรา จะเกิดโรคอะไรขึ้น แต่ก่อนที่จะถึงอีก 20 ปี ข้างหน้า เราก็เริ่มต้นหาทางรักษาหรือดูแลตัวเองให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นโรคดังกล่าว ทำให้การักษาแม่นยำและตรงจุด
ที่สำคัญ “จีโมมิกส์” จะต้องใช้ระยะเวลาถึง 5 ปี ในการเก็บตัวอย่างเพื่อถอดรหัสพันธุ์กรรมจีโนมิกส์ ซึ่งหากไม่เริ่มต้นในวันนี้ โอกาสที่จะทำได้สำเร็จก็อีกนาน ดังนั้น ความร่วมมือดังกล่าว จึงถือเป็นจุดเริ่มของการสร้างและพัฒนาให้ประเทศเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการพัฒนางานวิจัยและการตั้งโรง งานผลิตยารักษาโรคใหม่ๆ ที่มีคุณภาพสูงในอนาคตอีกด้วย
โดย นพวัชร์