ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 11-12 พ.ย.2564

“วันที่ 13 พ.ย.นี้ จะมีงานใหญ่ จัดขึ้นโดยสำนักข่าวเออีซี 10 นิวส์ หรือ www.aec10news.com เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปี ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 6 ในภายใต้บรรยากาศห้องประชุมเล็กๆ ของโรงแรมมิลาเคิล โดยหัวที่เราตั้งประเด็นในครั้งนี้ คือ “อนาคต Ride-Hailing หลังไทยเปิดประเทศ เพื่อขับเคลื่อน Thailand 4.0” ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญและอยู่ในความสนใจของประชาชน เนื่องจากบริการเรียกรถสาธารณะผ่านระบบแอปพลิเคชันเป็นที่นิยมของผู้ใช้บริการในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี”
“สำนักข่าวเออีซี 10 นิวส์” ในฐานะสื่อมวลชนที่รายงานข้อมูลข่าวสารด้านเศรฐกิจ การเมืองและสังคม ได้เล็งเห็นประเด็นสำคัญของเรื่องดังกล่าว จึงได้จัดงานสัมมนาภายใต้โลกออนไลน์ ด้วยถ่ายทอดสดผ่าน Facebook ตั้งแต่เวลา 10.30 น.จนถึงเวลาประมาณ 11.30 น. นอกจากนี้ ยังได้สร้างบรรยากาศตื่นเต้นในงานอีกด้วย โดยนำทองคำมูลค่ากว่า 28,000 บาท มาลุ้นเป็นช่วงๆ เพื่อสร้างความระทึก และให้เร้าใจมากขึ้นด้วย จากนี้ไป ขอให้ท่านที่ติดตามเรา โชคดีกันทุกๆ คน
เรื่องที่ 475 มาเริ่มต้นจริงๆ ที่ประเด็นการเมือง เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ว่าข้อเสนอของ 3 แกนนำม็อบ ประกอบด้วย “อานนท์-ไมค์-รุ้ง” ที่เสนอให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือเป็นการล้มล้างการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นับเป็นบรรทัดฐานใหม่ของศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนกันห้ามการเคลื่อนไหวบนถนนของเด็กเยาวชนในขณะนี้ ที่มุ่งไปในประเด็นเรื่องดังกล่าวเป็นหลัก
นายประจักษ์ ก้องกีรติ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทวิตข้อความถึงศาลรัฐธรรมนูญว่า 1.เขียน รธน.ขึ้นมาใหม่เสียเอง โดยคณะบุคคลที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน 2.สร้างหลักการปกครองแบบใหม่ที่ออกนอกกรอบ constitutional monarchy (ระบอบรัฐธรรมนูญ) 3.ทำลาย/บิดเบือนหลักการ constitutional monarchy (ระบอบรัฐธรรมนูญ) ที่บัญญัติในรธน.ของไทยและสากล 4.ทำลายหลักการเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
ขณะที่ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อาจยิ่งทำให้การชุมนุมลุกลามบานปลาย ไม่ถือว่าเป็นทางออกของสังคมไทยอย่างแท้จริง
ล่าสุด 23 องค์กรนักศึกษา ร่อนแถลงการณ์ ปฏิเสธไม่รับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นสัญญาณว่า การชุมนุมประท้วงจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
เรื่องที่ 476 หลังจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.จับมือตั้งบริษัทร่วมทุน กับ “ฟ็อกซ์คอนน์” ยักษ์ผู้ผลิตชิ้น ส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของจีน เพื่อตั้งโรงงานผลิตแพลตฟอร์มชิ้นส่วนสำคัญของรถอีวี รวมถึงการเป็นโรงงานประกอบรถอีวี แล้วล่าสุด ปตท.ยังได้จับมือกับ บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล (Hozon) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ สำหรับโอกาสทางธุรกิจและการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรในไทย ทั้งในเรื่องของการให้บริการเช่า การจัดจำหน่าย รถอีวี พวงมาลัยขวารุ่นแรกของแบรนด์ Neta V ที่ผลิตโดย Hozon และบริการหลังการขายที่เกี่ยวข้องผ่าน EVme ดิจิทัลแพลตฟอร์มของ ARUN PLUS รวมถึงความเป็นไปได้ในการขยายฐานการผลิตรถอีวี มายังประเทศไทยอีกด้วย..อนาคตไม่แคล้ว ค่ายรถอีวีจากจีน ครองตลาดในไทย แน่นอน

เรื่องที่ 477 ธุรกิจด้านพลังงาน กำไรกันถ้วนหน้า..บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ประกาศ ผลงานการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 64 มีกำไรสุทธิ จำนวน 9,121 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 3,253 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55.4% “พิจินต์ อภิวันทนาพร” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารการเงิน OR บอกเป็นผลมาจาก ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัว จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ในปีนี้ ทำให้ภาพรวมผลการดำเนิน งานกลุ่มธุรกิจน้ำมันดีขึ้น กำไรเฉลี่ยต่อลิตรเพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันจะปรับลดลง 8% และกลุ่มธุรกิจ Non-oil ปรับตัวลดลงเล็กน้อยก็ตาม..
ขณะที่ ผลประกอบการของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 9 เดือนแรก ปี 64 ก็มีกำไร เพิ่มขึ้นร้อยละ 181หรือประมาณ 5,868 ล้านบาท เช่นเดียวกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ผลประกอบการ 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไร 41,734.81 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 772% ผลกำไรมาจากสต๊อกน้ำมัน และ ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งธุรกิจด้านพลังงานอื่นๆที่ไม่ได้ยกมากล่าวก็มีผลประกอบการดีขึ้นเช่นกัน..ยินดีด้วยครับ

เรื่องที่ 478 “สงครามเย็น” ไม่ใช่กาแฟเย็น แต่เป็นเรื่องจริง เมื่อบิ๊กของจริงอย่าง “จีน” ประกาศเตือนฝรั่งตาน้ำข้าวและพวกชาวเอเชียผิวสีเหลืองเลือกข้างว่า “ระวังสงครามเย็นจะกลับมาสู่ภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก” เพราะคนที่ประกาศไม่ใช่ใครที่ไหน แต่บิ๊กจีนของจริงคือ “สี จิ้น ผิง” ประธานาธิบดีจีน กล่าวเตือนเมื่อ 11 พ.ย. ระบุภาวะสงครามเย็นจะกลับมาสู่ภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก สืบเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาค รวมถึงปัญหาสหรัฐฯที่เกี่ยวข้องกับไต้หวันและจีน ปัญหาพิพาททะเลจีนใต้ โดยผู้นำจีนเรียกร้องประเทศในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก จำเป็นต้องเพิ่มความร่วมมือกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในหลายด้าน รวมถึงความร่วมมือกันต่อสู้รับภัยโรคระบาดโควิด-19 และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมสภาพชั้นบรรยากาศโลกเปลี่ยนแปลง
เพียงแค่นี้ ก็สั่นหนาวสะท้านไปทั่วทั้งโลกแล้วครับ เพราะท่าทีของผู้นำจีนเกิด ไม่นานหลังจากที่จีนกับสหรัฐฯ เพิ่งให้คำมั่นร่วมกันเร่งลดปัญหาด้านสภาพแวดล้อมโลกร้อนในฐานะชาติผู้ก่อมลภาวะต่อโลกมากอันดับ 1 และ 2 ของโลก
งานนี้ ดราม่า และยิ่งดราม่า หรือของจริงเอามาขู่เล่นๆ ไว้ก่อน ต้องตาม!! “อย่ากะพริบตา”
โดย นพวัชร์