ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 22-23 ต.ค.2564
“รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ประกาศแผนเปิดประเทศ วันที่ 1 พ.ย.นี้ รับรอง 46 ชาติ เดินทางเที่ยวไทยไม่ต้องกักตัว โดยเพิ่มจากเดิมที่ประกาศไว้ก่อนหน้านั้น 10 ประเทศ โดย ท่านผู้นำให้เหตุผลในการตัดสินใจครั้งนี้ว่า หากประเทศไทยต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศให้มากขึ้นเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว และภาคธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไทย จำเป็นที่จะต้องเดินหน้าให้เร็วขึ้น และทำตั้งแต่ตอนนี้ เพราะการที่จะรอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบก่อนนั้น จะทำให้ช้าเกินไป”
เรื่อง 393 อีกทั้งนักท่องเที่ยวอาจจะตัดสินใจเลือกเดินทางไปประเทศอื่นก่อน แม้การเร่งเดินหน้าอย่างรวดเร็วนี้ จะมีความเสี่ยงที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่เราต้องยอมรับ ประเทศไทยเอง มีความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยงของโควิด-19 ได้ดีขึ้น และเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ให้ได้
นอกจากนี้ ในช่วงเวลาพร้อมๆ กัน รัฐบาลยังประกาศพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งสิ้น 17 จังหวัด พร้อมยกเลิกเคอร์ฟิว 4 จังหวัด ประกอบด้วย 1.กรุงเทพมหานคร 2.ชลบุรี (เฉพาะ อ.บางละมุง เมืองพัทยา อ.ศรีราชา อ.เกาะสีชัง และ อ.สัตหีบ เฉพาะ ต.นาจอมเทียนและ ต.บางเสร่) 3.ระยอง (เฉพาะเกาะเสม็ด) 4.สมุทรปราการ (เฉพาะบริเวณพื้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ)
โดยประกาศระบุว่า ในประเทศไทยมีแนวโน้มของสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยผู้ติดเชื้อรายใหม่มีจำนวนในระดับคงที่ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาหนึ่งและผู้ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีการฟื้นฟูประเทศเพื่อประโยชน์ด้านการใช้ชีวิตความเป็นอยู่และด้านเศรษฐกิจแก่ประชาชน
นับเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของ “บิ๊กตู่” ที่เดิมพันด้วยความเสี่ยงของสถานการณ์โควิด-19 ที่หากสถานการณ์ดีขึ้น ย่อมจะดีต่อประชาชนคนไทย แต่หากสถานการณ์แย่ลง พล.อ.ประยุทธ์ บอกแล้วว่า ก็ต้องกลับมาปิดประเทศอีกครั้ง
มันช่างน่าเศร้าใจเสียจริงๆ ประเทศไทยของเรา
เรื่องที่ 394 หายเงียบไปนาน “นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์” ที่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม หมายมั่นปั้นมือจะสร้างงานสร้างอาชีพให้กับผู้ต้องขัง เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้ผู้พ้นโทษกลับไปทำผิดซ้ำจากการไม่มีงานทำ จำได้แม่นว่า เมื่อประมาณ 16 พ.ย.2563 “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ได้ไปวางศิลาฤกษ์ สร้างนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ แห่งแรกของประเทศไทย ที่เรือนจำชั่วคราวบ้านบึง จังหวัดชลบุรี มี ผู้ประกอบการ 3 แห่งมาลงทุนสร้างโรงงาน ในนิคมอุตสาหกรรมคือบริษัทกาลศิริ พาณิชย์ จำกัด , บริษัท มายจักรยาน จำกัด และบริษัท เอสพีที เจริญซัพพลาย จำกัด ผลิตจักรยาน และไม้พาเลท ส่งขายทั้งในและต่างประเทศ
“สมศักดิ์” ยังได้ขอแรง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือกนอ. ผ่าน กระทรวงอุตสาหกรรมช่วยผลักดัน “นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์” ให้กระจายไปในหลายๆ พื้นที่ วนรอบมาเกือบครบ 1ปีแล้ว ก็เริ่มเห็นเค้าลางที่เป็นจริง เพราะที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อ 19 ต.ค.2564 รับทราบผลการศึกษา การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ซึ่งผุดขึ้นอีก 4 แห่งในเรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรปราการ ระยองและชลบุรี
ล่าสุด “วีริศ อัมระปาล” ผู้ว่าฯ กนอ.รับปากแล้วว่า จะเร่งศึกษาความเป็นไปได้ในเรื่องของ มาตรการ และสิทธิประโยชน์ เพื่อดึงดูดนักลงทุน โดยเน้นศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่ สมุทรปราการ และสมุทรสาคร เป็นอันดับแรก ซึ่งเราก็เชื่อว่าภาคเอกชน น่าจะให้การสนับสนุน แต่การว่าจ้างให้เป็นพนักงานประจำอาจจะต้องศึกษารูปแบบและวิธีการที่เหมาะสม รวมทั้งเรื่องความปลอดภัยในนิคมฯ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับ ผู้ลงทุนด้วยเช่นกัน
เรื่องที่ 395 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นอีกหนึ่ง ที่ได้ประกาศนโยบาย สู่ “EGAT Carbon Neutrality” ในปี 2050 ที่น่าสนใจคือ ได้กำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีโครงการหลักได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ ร่วมกับเขื่อนพลังน้ำและระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ผลักดันให้มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 5,325 เมกะวัตต์ ในปีค.ศ. 2036 และยังได้วางแนวทางการลงทุนพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย หรือ Grid Modernization เพื่อให้สามารถนำพลังงานหมุนเวียนมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนในการผลิตพลังงานไฟฟ้าในปี 2044 ซึ่งตั้งเป้าผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่ 66,000 ล้านหน่วย ภายในปี 2050 จริงดิ!!
เรื่องที่ 396 “ภาพลวงตา” ราคารถยนต์แพงลิบลิ่วในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมาเป็นเพราะคนไทยไร้ทางเลือกจากค่ายรถยนต์เจ้าอื่นๆ นอกจากการผูกขาดตลาดของฝั่งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ที่แม้จะตั้งโรงงานในไทย แต่การตั้งราคาขาย ดูเหมือนจะแพงเกินตัวรถยนต์ไปเยอะพอสมควร ขณะที่ฟากยุโรปและอเมริกา หากเป็นรถยนต์คันหรูราคาคงไม่ต้องพูดถึงลองไปสำรวจราคาของรถตลาด ก็ไม่ต่างจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นสักเท่าใดที่ทำราคาได้ต่ำ
อย่างค่ายรถยนต์จากประเทศอินเดีย แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด แม้ราคารถจะต่ำก็จริง แต่มาตรฐานคุณภาพก็ต่ำตามราคารถยนต์ไปด้วย สุดท้าย “ทาทา” จากอินเดียก็ต้องปิดฉากตัวเองในไทย
ส่วนที่แข็งแกร่งและมาแรงมากสุดปีนี้ ต้องยกนิ้วให้ค่ายรถยนต์จากเมืองจีน หลังจากค่าย MG นำร่องมาก่อนแล้ว ถึงเวลาที่ยักษ์ใหญ่อย่าง “GWM” หรือ “เกรทวอลล์มอเตอร์” ได้เวลาบุกยึดหัวหาดในเมืองไทยเสียที เห็นว่าอีกค่ายยักษ์ใหญ่ไม่แพ้กัน อย่าง “ฉางอัน ออโต้โมบิล” เตรียมจะรุกตลาดเมืองไทยอีกค่ายนึง
วันเวลาของการผูกขาดและทำราคาตลาดรถยนต์แบบ “มัดมือชก” ในเมืองไทย ทำท่าจะสิ้นสลายกันไปเสียแล้ว หลังจากบรรดาค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากจีน เริ่มเข้ามาทำตลาดรถยนต์ในบ้านเราอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ยามนี้รถตลาดไม่ว่าจะเป็นเก๋งขนาดเล็ก ขนาดกลาง รถกระบะ หรือรถ SUV ระดับคุณภาพมาตรฐานก็ไม่ต่างจากรถยนต์จากค่ายญี่ปุ่นหรือฝั่งตะวัน ตกมากนัก แต่ราคาขายและออฟชั่นที่จัดแบบเต็มๆ ถือว่า “ปฏิวัติ” วงการรถยนต์เมืองไทยเลยที่เดียว เห็นได้ว่ารถยนต์ค่ายใหญ่ของฝั่งญี่ปุ่น ก็เริ่มปรับลดราคากันลงมาแล้ว อย่าง SUV 5 ที่นั่งของค่ายฮอนด้า จากที่เคยราคาเป็นล้านบาท รอบนี้หั่นราคาลงมาสู้รถยนต์จีนเหลือเพียงระดับ 8 แสนเศษ ถามว่าราคาที่ถูกหั่นหายไปราว 2 แสนบาทคืออะไร ก็คือ ภาพสะท้อนที่คนไทยเคยจ่ายแพงตลอด 30-40 ปีที่ผ่านมา ใช่หรือไม่ ช่วยตอบที!!
เรื่อง 397 ถือว่ามาถูกที่ถูกเวลา สำหรับงานมหกรรมยานยนต์ หรือ “มอเตอร์เอ็กซ์โป 2021” ที่จะมีขึ้น ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในช่วงเดือนธ.ค.นี้ หากการเปิดประเทศรอบใหม่ “1 พ.ย.” และการอนุญาตให้มีการนั่งดื่มกินในร้านอาหารช่วงเดือนธ.ค. ไม่เกิดปัญหาใดๆ จนมี “คลัสเตอร์ – โควิดฯ” ขนาดใหญ่เกิดขึ้นล่ะก็ ถือเป็นบุญของ “เสี่ยขวัญ” ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ปธ.จัดงานฯ ซึ่งต่างจากงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ของ “เสี่ยจิน-ปราจิน เอี่ยมลำเลา” ที่โดนหางเลขของการระบาดระลอกสาม งอมพระรามฯ ไปเลย! งานนี้ ได้คนระดับ “สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์” รองประธานฯ และโฆษกกลุ่มอุตฯ รถยนต์ สภาอุตสาหกรรม ออกมาการันตีว่า ตัวงานมอเตอร์เอ็กซ์โปน่าจะได้รับความสนใจจากบรรดาคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติกันเยอะมาก ตรงนี้จะได้ช่วยพยุงการจ้างงานในอุตฯรถยนต์ในไทย ที่มีแรงงานเกี่ยวข้องทั้งระบบมากถึง 2 ล้านราย ประเมินกันว่าการผลิตรถยนต์ในไทยปีนี้สูงถึง 1.6 ล้านคัน แบ่งเป็นขายในประเทศ 7.5 ล้านคันและส่งออก 8.5 แสนคัน
อานิสงฆ์จากการเปิดประเทศฯรอบใหม่นี้ ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับรถยนต์จากค่ายต่างๆ โดยเฉพาะจากจีน ที่เตรียมจะส่งรถตลาด ทั้งที่เป็นรถยนต์กินน้ำมัน รถยนต์ลูกผสม “ไฮบริดจ์” และรถรถยต์ไฟฟ้า (EV) มาร่วมงานนี้อย่างคับคั่ง “ศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร” ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมเชื่อว่า ค่ายรถยนต์หลายค่ายจะงัดโปรโมชั่น อัดแคมเปญต่างๆ เพื่อกระตุ้นตลาด โดยเฉพาะตลาด EV จากประเทศจีน ที่เตรียมจะขนรถยนต์รุ่นต่างๆ มาเปิด ตัวในงานนี้กันอย่างคับคั่ง ถึงได้บอกไงว่า ยุคสมัยแห่งการปิดกันและผูกขาด “ตีกิน” คนไทย มันจบลงแล้ว!!!
โดย นพวัชร์