ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 21-22 ต.ค.2564
“วันที่ 21 ต.ค.วันหยุดราชการประจำ “ภาคกลาง” รวม 18 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงครามและสมุทรสาคร”
เรื่อง 389 วันหยุดประจำภาค มติ ครม.อนุมัติให้มีวันหยุดด้วยกัน 4 ภาค ประกอบด้วย ภาคเหนือ : วันศุกร์ที่ 26 มี.ค.64 (ประเพณีไหว้พระธาตุ) , ภาคอีสาน : วันจันทร์ที่ 10 พ.ค.64 (ประเพณีงานบุญบั้งไฟ), ภาคใต้ : วันพุธที่ 6 ต.ค.64 (ประเพณีสารทเดือนสิบ) และภาคกลาง : วันพฤหัสบดีที่ 21 ต.ค.64 (เทศกาลออกพรรษา)
แต่รู้หรือไม่ว่า มีประชาชนอีก 1 ภาคถูกลืม ไม่มีวันหยุดประจำภาค นั่นก็คือคนภาคตะวันออก 8 จังหวัด ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรีและสระแก้ว ไม่มีวันหยุดประจำภาคเหมือนจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ
เดิมทีคน 8 จังหวัดภาคตะวันออกคิดว่าตัวเองจะได้หยุดพร้อมกับคนภาคกลางในวันที่ 21 ต.ค. แต่ปรากฎว่า 21 ต.ค.หยุดเฉพาะภาคกลาง 18 จังหวัด ทำให้คนอีก 8 หวังผิดหวังไปตามๆกัน
และเมื่อไปตรวจสอบกันดูจริงๆ พบว่า ครม.ไม่ได้จัดวันหยุดให้คน 8 จังหวัดภาคตะวันออกไว้เลย เชื่อว่าเป็นความผิดพลาด หลงลืมครั้งใหญ่ ที่จัดวันหยุดประจำภาคให้กับทุกพื้นที่ ยกเว้นภาคตะวันออก
เรื่องที่ 390 วันนี้!! ขยะติดเชื้อกำลังสร้างปัญหา อันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอย สถานกักกันตัวต่างๆ ล้วนมีขยะติดเชื้อตกค้างสะสม รอทำลาย สาธารณสุข ก็กำจัดไม่ไหวเพราะมีเป็นจำนวนมาก เกินอัตราที่รับได้ ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงได้มีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาขยะติดเชื้ออย่างเป็นการเร็วด่วน กระทรวงอุตสาหกรรม ก็เร่งควานหาโรงกำจัดขยะที่ปลอดภัยสุดท้ายมาลงตัวที่โรงงานทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
วันก่อน “วันชัย พนมชัย” อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ก็ได้ลงพื้นที่ไปตรวจความพร้อมของโรงงานทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ ตําบลทับกวาง อําเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี พร้อมกับ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และสื่อมวลชนซึ่งก็ต้องยอมรับว่าโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากขยะแห่งนี้ มีความทันสมัยมาก และยังเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สามารถรองรับ ขยะได้ถึง 6,000 ตันต่อวัน ถ้ามีสักโรงที่ กทม.ก็จะดี แต่ก็คงยาก เพราะขนาด โรงกำจัดขยะ “อ่อนนุช-หนองแขม” กว่า 2 ปีแล้วยังได้ไม่ก่อสร้าง เพราะรอใบอนุญาต จาก กกพ.(คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน)
เรื่องที่ 391 ขายดีไม่ตก ก็มีแต่หุ้นกู้ธุรกิจด้านพลังงานล่าสุด บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER ปล่อยขายหุ้นกู้ 1,500 ล้านบาท “จอมทรัพย์ โลจายะ” ซีอีโอ SUPER บอกว่า กระแสตอบรับดีเยี่ยม นักลงทุนประเภทสถาบัน-รายใหญ่จองซื้อล้นหลาม แม้จะอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด เงินที่ได้ก็จะนำไปชำระคืนหุ้นกู้ และลงทุน โครงการโรงไฟฟ้าฟ้า SPP Hybrid จังหวัดสระแก้ว และยังตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้ได้ 2,000 เมกะวัตต์ในปี 2565 และก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศเวียดนามอีกด้วย ถึงว่า สิ แผนงานชัดเจนอย่างนี้ หุ้นกู้ถึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ต่างจาก โครงการโซลาร์ภาคประชาชน และ โรงไฟฟ้าชุมชน อย่างสิ้นเชิง เพราะ รอวันแห้งตายอย่างเดียว
เรื่อง 392 “เหล้า – บุหรี่ – น้ำมัน” กลายเป็นสินค้าหนีภาษียอดฮิตตลอดกาล ที่แม้หน่วยงานภาครัฐ ตั้งแต่กองทัพ “บก-เรือ” ตำรวจ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และอื่นๆ จะบูรณาการทำงานด้านปราบปรามร่วมกันมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนจะเอาไม่ลง! จับอย่างไรก็ไม่มีวันหมดสิ้น ยิ่งสินค้าบาปและน้ำมันโดนอัตราภาษีที่ปรับแพงขึ้น หรือไม่ก็เพราะราคาวัตถุดิบในตลาดโลกแพง ตามปริมาณความต้องการและค่าเงินบาทที่ลดลง ข่าวคราวการจับกุมการลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษี โดยเฉพาะ 3 ตัวหลักข้างต้น จึงมีให้ได้เห็นได้อ่านได้ฟังกันทุกเมื่อเชื่อวัน หลักฐานที่เห็นกันชัดๆ คือ กรณีที่ กรมสรรพสามิต ภายใต้การนำของ “พี่บัส-ลวรณ แสงสนิท” อธิบดีฯ ส่ง “โฆษกกรม” อย่าง ณัฐกร อุเทนสุต ออกมาให้ข่าวการจับกุมทุกสัปดาห์ แล้วก็หนีไม่พ้นที่จะมี “เหล้า–บุหรี่” นำทัพหนีภาษีมากกว่าตัวอื่นๆ
หันดูฝั่งกรมศุลกากร ที่มีแม่ทัพใหญ่ ชื่อ “บิ๊กหม่อง-พชร อนันตศิลป์” อธิบดีฯ ก็ส่ง “ชัยวัฒน์ คำคุณ” โฆษกกรมฯ ออกมาแถลงข่าวกันทุกเดือน แม้จะไม่ถี่เหมือนกรมสรรพสามิต แต่ข้อมูลการจับกุมแต่ละเดือน ก็ไม่น้อยหน้ากันสักเท่าใด ล่าสุด เพิ่งเห็น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ลงมาร่วมกับกรมศุลกากรและกรมสรรพสามิต ลุยน้ำ “น้ำมันเถื่อน” ที่สมุทรปราการ รอบนั้น ล่อกันเป็นล้านลิตร อ้างสิทธิที่ไม่เสียภาษีที่ต้องส่งออกไปต่างแดน จึงได้รับยกเว้นภาษี แต่กลับวนเอามาขายในประเทศ หากผ่านไปได้ จะมีบางคนคนรวยอื้อซ่า เฉพาะค่าปรับน้ำมันเถื่อนอย่างเดียว ก็พุ่งทะลุกว่า 100 ล้านเข้าไปแล้ว ประเด็นที่อยากฝากไปถึงผู้เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ระดับ กองทัพ สตช. กระทรวงการคลัง ไปจนถึงคนที่นั่งทำงานอยู่ในทำเนียบรัฐบาล หากคิดจะปราบปรามกลุ่มที่ลักลอบขน “เหล้า – บุหรี่ – น้ำมัน” หนีภาษีกันจริงๆ จังๆ จะต้องสาวให้ลึกถึงตัวการจริงๆ ไม่ใช่แค่รวมหัวไปจับ คนระดับ “ลิ่วล้อ” เพื่อให้สื่อได้ตามไปทำข่าว เอาหน้าไปวันๆ
ของจริง! ฝ่ายที่ทำงานด้านการข่าว ไม่ว่าจะอยู่ในสังกัดใด! ต่างรู้กันดีว่า ใคร? กลุ่มไหน คือ “ไอ้โม่ง” รายใหญ่ มีเครือข่ายนักการเมือง คนมีสี นักธุรกิจชั้นนำ แม้กระทั่ง “นอมินี” นายทุนธุรกิจข้ามชาติ ระดับใด มีสาแหรกเป็นทางยาวระดับไหน? แต่เพราะบรรดานายๆ “ปิดตาข้างนึง” คนทำงานเลยไม่กล้ารุกหนัก หากคิดจะสาวโยงลากยาว สายไปถึงตัวการใหญ่จริงล่ะก็ ป่านนี้ ขบวนการลักลอบขนของหนีภาษี หมดไปจากเมืองไทยกันนานแล้ว
ถึงบรรทัดนี้ ต้องถามกลับ ภาครัฐยังคิดจะไล่ลับจริงๆ จังๆ หรือหวังแค่พอให้ได้เป็นข่าวตามหน้าสื่อ จับล็อตเล็ก เพื่อให้เปิดทางให้ล็อตใหญ่ๆ ผ่านไปสะดวกโยธิน ก็อยากได้แปลกใจ! เหตุใดจึงยังมี “เหล้า – บุหรี่ – น้ำมันเถื่อน” วางขายเกลื่อนเมือง ในจุดที่ “คนซื้อ” รู้กันดีว่าจะไปหากันได้ที่ไหน รู้แล้วก็ได้แต่สะท้อนใจ ที่คนถืออำนาจรัฐ ไม่เอาจริง! กับเรื่องพรรค์นี้ซะที
โดย นพวัชร์