ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 14-15 ต.ค.2564
“บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่าจะไม่ยุบสภาในช่วงนี้ เพราะต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของโรคโควิด ปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ จึงสั่งการให้ทุกหน่วย งานเร่งช่วยเหลือประชาชนเป็นกรณีเร่งด่วน”
เรื่องที่ 359 เป็นที่คาดการณ์ว่า ในช่วงต้นปี 2565 เป็นต้นไป รัฐบาลของ “พล.อ.ประยุทธ์” จะอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก พร้อมย้ำความสำคัญของนโยบายให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วกัน เช่น การรื้อระบบการลงทะเบียนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่เรียกติดปากว่า “บัตรคนจน” เป็นหนึ่งในสัญญาณว่า รัฐบาลกำลังจะใช้นโยบายนี้เป็นการปูทางเพื่อรองรับการหาเสียงเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งปี 2562 พรรคพลังประชารัฐได้คะแนนอย่างเป็นกอบเป็นกำจากนโยบายนี้
ทุกวันนี้แม้ “พล.อ.ประยุทธ์” จะยืนยัน ไม่มีการยุบสภา แต่การลงพื้นที่บ่อยครั้งของ 2 ป.คือ “พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร” ทำให้ถูกมองว่าเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่นั่นทำให้พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ต้องขยับตัวลงพื้นที่กันอย่างขยันขันแข็งเผื่อว่าวันหนึ่งมีการประกาศยุบสภาขึ้นมาจริงๆ จะได้เตรียมตัวทัน เพราะอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เรื่องที่ 360 ใจถึง พึงได้ นอกจากจะมี “ส.ส.วัน อยู่บำรุง” เจ้าของสโลแกน.. ก็ยังมีเขาคนนี้ (อีกคน) คือ “โกศล แสงรังสี” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พาวเวอร์ แอนด์ เอ็นเนอร์ยี่ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารฟีนิกซ์ สเตชั่น ที่เห็นความทุกข์ยากของผู้ประกอบการปั๊มแก๊ส LPG เพราะนอกจากจะถูกผลกระทบจากสถานการณ์โควิดแล้ว ยังมาเจอกับสถานการณ์ราคาแก๊ส LPG ที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ การใช้แก๊ส LPG สำหรับภาคการขนส่ง มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปี 2564 หรือ ลดลง 12% โดยประมาณ
เนื่องจากภาคการขนส่ง เช่น รถแท็กซี่ หันมาใช้น้ำมันดีเซล เบนซินกันมากขึ้น เมื่อคนเติมแก๊ส LPG ลดลง รายได้ของปั๊มแก๊ส LPG ก็ต้องลดลงตาม สุดท้ายก็ต้องจำใจปิดตัวลง เพราะทนขาดทุนไม่ไหว “โกศล” จึงผุดไอเดีย โครงการ Phoenix Station Plus ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการปั๊มแก๊ส LPG ให้สามารถดำเนินธุรกิจประกอบกิจการต่อไปได้ และยังได้ สสว. ช่วยประสานขอรับการสนับสนุนการลงทุน SME Bank ปรับโฉมปั๊มแก๊ส LPG ใหม่ ให้มีทางเลือกมากขึ้น ด้วยการขยายช่องทางการตลาดเป็นทั้งปั๊มน้ำมันและอัดประจุไฟฟ้า ลงทุนไม่สูง ผลตอบแทนคุ้มค่า คืนทุนไว “โกศล แสงรังสี” คอนเฟิร์ม
เรื่อง 361 “สราวุธ แก้วตาทิพย์” อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ แจ้งมาว่าที่ประชุมคณะรัฐมน ตรี เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2564 ได้มีมติเห็นชอบให้สัมปทานปิโตรเลียมแปลงสำรวจบนบกหมาย เลข L1/64 แก่ บริษัท ซีเอ็นพีซีเอชเค (ไทยแลนด์) จำกัด จำนวน 1 แปลง พื้นที่รวม 78.90 ตารางกิโลเมตร ในเขตจังหวัดสุโขทัยและจังหวัดกำแพงเพชรแล้ว เบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะสามารถผลิตน้ำมันดิบได้วันละประมาณ 300-400 บาร์เรลต่อวัน ทดแทนมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบได้ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยในช่วง 3 ปีแรกของการสำรวจจะมีการลงทุนขั้นต่ำภายในประเทศ และผลประโยชน์พิเศษที่รัฐจะได้รับ รวมประมาณ 4.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 130 ล้านบาท และหากสามารถพัฒนาแหล่งและผลิตปิโตรเลียม ในแปลงสำรวจปิโตรเลียมดังกล่าวได้ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่รัฐในรูปแบบของค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้ปิโตรเลียมด้วย ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่จะให้ดี น่าจะแจ้งให้ทราบเร็วว่านี้ ก็จะดีมากนะครับ ท่านอธิบดี
ทฤษฎี “ตีเหล็กตอนร้อน” เรื่องที่ 362 “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา “ไฟเขียว” ให้การท่องเที่ยวแห่งประ เทศไทยเทงบ 200 ล้าน ดึงเอาศิลปินสาว “เคป๊อป” ระดับโลก สายเลือดไทยอย่าง “ลิซ่า แบล็กพิงก์” มาประชันกับ “แอนเดรีย โบเซลลี” นักร้องโอเปร่าชื่อดังของโลกชาวอิตาลี ในกิจกรรมเคาต์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2565 ที่ จังหวัดภูเก็ต ถือว่า มาถูกทางในแง่การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เพราะ 2 ศิลปินดังระดับโลก น่าจะดึงความสนใจของนักท่องเที่ยว สายดนตรีและเสียงเพลงได้ชะงักนักแล นาทีนี้เชื่อว่า ทั้งการโปรโมทงานและการจัดอีเว้นท์ระดับโลกในไทย หลังจากที่ห่างหายมายาวนานเกือบ 2 ปี น่าจะประสบผลสำเร็จสร้างชื่อให้เมืองไทยในหลายมิติ แต่ที่ยังน่าเป็นห่วงและสร้างความกังวลใจมากสุดคือ มาตรการป้องการ “โควิดฯ” ทั้งภายในและจากภายนอก ลำพังพวกที่มาตามตรอกออกตามประตู เช็คเอกสารหลักฐานย้อนหลังได้ ไม่ค่อยน่าเป็นห่วง กลัวอย่างเดียว พวกลักลอบเข้าเมือง ที่จะสร้างปัญหา ทำคนไทย “ฝันสลาย” ตรงนี้ ยังไม่เห็นใคร พูดออกมาชัดๆ สักที !!!
เรื่อง 363 เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ “ดีเดย์ 1 พ.ย.” รอบนี้…สอดรับกับการเปิดเสรี “ใบกระท่อม” และที่ใกล้จะเปิดเสรีอย่าง “กัญชงและกัญชา” ทำเอานักท่องเที่ยวสาย “ตาหวาน” ลนลานอยากเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยแทบใจจะขาด? แม้ 2 อย่างหลัง ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับชัดเจน แต่ก็อะลุ้มอล่วยให้บริโภค “ใบ” ในเชิงของส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มได้ แค่นี้ ก็เพียงพอกับการที่ผู้ประกอบการไทยจะเอาไปสร้าง “สตอรี่…เรียกนักท่องเที่ยว” กันได้แล้ว ขออย่างเดียว ใคร? หน่วยงานไหน ที่ไม่มีส่วนได้เสีย อย่าทำตัวเป็น “จระเข้ขวางคลอง” สวมบท “นักร้อง-ช่างฟ้อง!” ประมาณว่ามือไม่พาย แล้วดันเอาอะไรมาราน้ำ แล้วกัน ฝาก “คนโต” อย่าง “พี่เน-เนวิน ชิดชอบ” ใช้ความเป็น “กุนซือการเมือง” แนะ “หนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” เดินเครื่องเรื่องนี้ให้เต็มสูบ ไหนๆ ก็ทุ่มมาสุดตัว ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งครั้งก่อน จนใกล้จะเลือกตั้งกันใหม่ในปีหน้าแล้ว ก็เอามือปิดสักข้าง ปล่อยให้เกาะแก่งต่างๆ ได้เป็นสวรรค์ของคน “ตาหวาน” ไปเหอะ!
เรื่องสุดท้าย 364 ไม่รู้ “บิ๊กตู่” ในฐานะ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” เอาข้อมูลมาจากไหน? ว่า คนไทยชอบโครงการคนละครึ่ง จนต้องกระแซะถาม “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” ทำนอง กระทรวงการคลังจะเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่งเฟส 4” ได้มื่อไหร? เพราะข้อเท็จวันนี้ มนต์ขลังโครงการนี้ ขาดเสน่ห์และสีสันไปพะเรอเกวียน ด้วย 2 เหตุผล คือ 1.วงเงินที่ให้น้อยและทิ้งช่วง เวลายาวนานเกินไป
และ2.คนไทยจนลง แทบไม่มีเงินมาร่วม “โคเพย์” อะไรมากนัก ลองหันไปสำรวจ คนละครึ่งเฟส 3 ช่วงที่ 2 ดูก็ได้ อัตราเร่งในการใช้จ่ายต่อคนเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับเฟสแรกและเฟส 2 ถึงนาที ยังเหลือโควตาให้คนมาเข้าร่วมอีกราว 300,000 สิทธิ ประกาศมานานสองนาน ยังหาคนสนใจไม่ได้ ขณะเดียวกันในจำนวนกว่า 24 ล้านสิทธิที่มีโอกาสใช้จ่ายฯ ก็ไม่ฮ๊อตเหมือน 2 เฟสก่อนหน้านี้ หากรัฐบาลจะเดินหน้าจริงๆ คงต้องมองประเด็น การปรับเพิ่มวงเงินและเพิ่มยอดใช้จ่ายต่อวันเสียใหม่จากช่วงละ 3,000 บาทต่อ 3 เดือน เปลี่ยนเป็นเดือนละ 3,000 บาทได้ไหม และที่ให้ผู้มีสิทธิฯ ควักจ่ายเอง 150 บาท โดยรัฐจ่ายสมทบให้อีก 150 บาทนั้น หากปรับเพิ่มการใช้จ่ายต่อวันเป็น 200-300 บาทของแต่ละฝั่งได้ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี ส่วนคนที่ไม่มีเงินจะมาโอนใส่ใน “เป๋าตัง” ก็ควรจะได้สิทธิใช้จ่าย ในส่วนที่ภาครัฐออกให้ไปเลย โดยไม่ต้องโอนเงินใส่ใน “เป๋าตัง” จะเป็นความกรุณาให้กับคนยากไร้ได้เป็นอย่างดี
โดย นพวัชร์