ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 3-4 ต.ค.2564
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “อยากได้ใคร เป็นผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 6” พบว่าประชาชนชาวกรุงเทพฯ อยากให้ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่า กทม.มาเป็นอันดับ 1 ร้อยละ 29.74 ส่วนอันดับ 2 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ ขณะที่อันดับ 3 ได้แก่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ร้อยละ 13.66 แล้วต่อด้วยอันดับ 4 คือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ร้อยละ 9.33
เรื่องที่ 308 เมื่อนิด้าโพลได้เปรียบเทียบกับผลการสำรวจอยากได้ใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 5 เดือน ก.ย.2564 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รวมถึงผู้สมัครจากคณะก้าวหน้า หรือ พรรคก้าวไกล ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ มีสัดส่วนลดลง ในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ยังไม่ตัดสินใจ รวมถึง ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ และนายสกลธี ภัททิยกุล มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
น่าสนใจว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.คงจะมีขึ้นอย่างแน่นอนในต้นปี 2565 โดยกระแสของ ดร.ชัชชาติ ดีขึ้นตามลำดับ ขณะที่ว่าที่คู่แข่งคนสำคัญอย่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แม้จะเป็นถึงอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ผู้ซึ่งมีผลงานโดดเด่นมากมาย แต่กระแสกลับอ่อนลงเรื่อยๆนับตั้งแต่เกษียณจาก ผบ.ตร.
ที่สำคัญ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังมีภาพลักษณ์ที่ผูกติดกับอำนาจรัฐบาลปัจจุบัน จึงไม่แปลกที่กระแสความนิยมในตัว พล.ต.อ.จักรทิพย์ จะตก เพราะกระแสของรัฐบาลเองก็ตกด้วยเช่นกัน
เรื่องที่ 309 คนเก่าไป…คนใหม่มา! สัจธรรมที่เกิดขึ้นกับทุกองค์กรภาครัฐ สำหรับกระทรวงการคลังรอบนี้…ถือว่าเปลี่ยนแปลงไม่เยอะ เมื่อระดับอธิบดีฯ เกษียณอายุราชการเพียงรายเดียว การขยับเก้าอี้อธิบดีฯ…ในยุค “ปลัดฯตู่” กฤษกฎา จีนะวิจารณะ จึงมีไม่เยอะ! หลัง “ยุทธนา หยิมการุณ” เกษียณอายุราชการไปแล้ว “ประภาศ คงเอียด” ก็มาแทนที่ในตำแหน่งอธิบดีกรธนารักษ์ และ “อุ๋ย” กุลยา ตันติเตมิท ย้ายไปนั่งเก้าอี้ อธิบดีกรมบัญชีกลาง แทนที่ “ประภาศ” เปิดทางให้ “พรชัย ฐีระเวช” ไปนั่งเก้าอี้ ผอ.สศค. แทนที่ “อุ๋ย” แถมพ่วง “โฆษกกระทรวงการคลัง” ไปอีกตำแหน่ง และ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา อธิบดีใหม่…ต่างก็ย้ายเข้าสังกัดใหม่ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย
ที่เริ่มงานเร็วกว่าคนอื่นๆ น่าจะเป็น “ผอ.โป๊ะ – พรชัย” เพราะเข้าทำงานที่ สศค. เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็ได้เริ่มงานในฐานะ “โฆษกกระทรวงการคลัง” ทันที เพราะมีเรื่องฮ๊อต! อย่าง…โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ช่วงที่ 2 ที่ภาครัฐจะต้องโอนสิทธิ์การใช้เงินจำนวน 1,500 บาทให้กับผู้มีสิทธิ์กว่า 24 ล้านคนในวันที่ 1 ต.ค. เจ้าตัวยังได้เชิญชวนคนใหม่ๆ…ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เพราะยังเหลือโควต้าอีก 8.5 แสนคน และหากคนใหม่เข้าร่วมในเฟสนี้ รับไปเลย 3,000 บาท “ควบช่วงที่ 1 และ 2” ของเฟส 3
มาแปลกสุด! เพราะมีภาพข่าวการรับมอบงานและเริ่มทำงานใหม่…ออกมาให้ผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงการคลังได้เห็นกัน ก็คือ ภาพที่ “ประภาศ” เริ่มทำงานตำแหน่งใหม่ “อธิบดีกรมธนารักษ์” และได้แรงหนุนของข้าราชการระดับสูงของกรมธนารักษ์มาร่วมให้กำลังใจและรายงานตัวก่อนร่วมงานกันในช่วง 1 ปีนับจากวันนี้ไป ส่วนเจ้าตัวจะโชว์ผลงานได้ดีแค่ไหน? ต้องลุ้น! แต่ก่อนหน้าที่ “ยุทธนา” จะพ้นจากเก้าอี้ ตัวเดียวกันนี้ เห็นว่า…มีการพบปะและบลีฟงานให้กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชื่อว่า…หลังวันนี้ “ประภาศ” คงได้เริ่มงานที่กรมธนารักษ์อย่างมีความสุข วงนอก…ยังได้รับแรงหนุนจาก “ยุทธนา” และวงใน…บรรดาข้าราชการในอาณัติ ก็พร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่ ยิ่งได้ “คนภาคเดียวกัน” นั่งเก้าอี้ “รองอธิบดีฯ” แถมยังโชว์ผลงานเข้าตาอธิบดีฯคนก่อนด้วยแล้ว งานของ “ประภาศ” ตลอด 1 ปี…คงมีข้อมูลเชิงลึกจากใครคนนั้น จนอาจได้สร้างผลงานเทียบชั้นอธิบดีคนก่อนกันบ้าง
เรื่องที่ 310 เตือนอีกรอบ..เตือนมาตลอดๆ คดีเหมืองทองอัครา.. “นิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์” อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ บอกมาว่า กรณีสื่อสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่ข้อมูลว่า ประเทศไทยแพ้คดีปิดเหมืองทอง สูญเงินประมาณ 70,000 ล้านบาทนั้น เป็นข้อมูลเท็จ นะจ๊ะ…และย้ำว่า การระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ประเทศออสเตรเลีย ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ถือประทานบัตรเหมืองแร่ทองคำ จังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ ยังคงอยู่ในระหว่างกระบวนการอนุญาโตตุลาการ และยังไม่มีการออกคำตัดสินชี้ขาดใด ๆ ทั้งสิ้น …ตอนนี้ คู่พิพาททั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน ..จะยุติเมื่อไหร่ ได้ความอย่างไรแล้ว.. “นิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์” อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ บอกจะแจ้งให้ทราบอย่างละเอียดต่อไป..ชาวโซเชียล เข้าใจตามนี้นะจ๊ะ…
เรื่องที่ 311 เอกชน ขานรับ แผนเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการ ล็อกดาวน์ ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. นี้ เห็นได้จากผลสำรวจ FTI Poll ที่ผ่านมา ผู้บริหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ส่วนใหญ่ร้อยละ 73.3 เห็นด้วย และขอให้ภาครัฐดำเนินนโยบายที่มีการผ่อนคลายกิจกรรมทางธุรกิจมากขึ้น ส่วนการบังคับใช้มาตรการควบคุมโรค ควรใช้เท่าที่จำเป็น เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้..
เรื่องที่ 312 นอกจากนี้ ยังเสนอให้ภาครัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการพักชำระหนี้และหยุดคิดดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ภาคเอกชน รวมทั้ง การขยายระยะเวลาเคอร์ฟิว เพื่อให้ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจบันเทิง เปิดให้บริการได้… “วิรัตน์ เอื้อนฤมิต” รองประธาน ส.อ.ท. ยังแนะนำมาว่าทางที่ดี ภาคเอกชนต้องเร่งปรับ Business Model ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงหลังโควิด-19 ด้วย.. ต้องเรียนรู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง เพื่อความอยู่รอดของตนเอง..จะมาทำธุรกิจแบบเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว..
โดย นพวัชร์