ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 2-3 ก.ย.2564
“ยังอยู่ที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยครั้งนี้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข โดนหนักสุด ฝ่ายค้านสับแหลกในเรื่องการบริหารจัดการโควิด-19 และการจัดซื้อวัคซีนที่มีความล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์ รวมถึงกระบวนการจัดซื้อชุดตรวจ ATK ที่ถูกมองว่าแพงกว่าราคาจริง”
เรื่องที่ 173 ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผ่านพ้นไปแล้ว 3 วัน (31 ส.ค. 1 และ 2 ก.ย.) กำลังก้าวเข้าสู้วันที่ 4 ของการอภิปราบ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 3 ก.ย.นี้ “บิ๊กตู่” ต้องลุกขึ้นชี้แจงแถลงไขต่อฝ่ายค้านอยู่เป็นระยะๆ ตอบตรงบ้างไม่ตรงบ้าง และเกินไปบ้างสลับกันไป กระนั้น “บิ๊กตู่” ก็ไม่หลบเลี่ยง หลีกหนีฝ่ายค้านแต่อย่างใด ยอมรับว่า รอบนี้ ท่านเตรียมตัวมาดี ทั้งหน้าตา และอารมณ์ว่า กันแบบนั้น
ผิดกับ “อนุทิน” ตอบเพียงครั้งเดียว โดยเป็นการตอบคำถามแบบไม่มีความพร้อมเท่าไหร่นัก เพราะทราบดีว่า “เสี่ยหนู” ไม่ชำนาญในการพูดต่อที่สาธารณะมากเท่าไหร่ ลูกพรรคภูมิใจไทยจึงแก้เกมด้วยการยกมือประท้วง เมื่อฝ่ายค้านโจมตี “หัวหน้าหนู” ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง หรือเวลาที่มีพูดถึงประสิทธิภาพของวัคซีนชิโนแวค
นอกจากนี้ พรรคภูมิใจไทยยังดึงเอาหมอๆ ซึ่งเป็นผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเข้าสภา แถลงโต้ฝ่ายค้านอยู่เนืองๆ โดยมากันครบตั้งแต่ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข , นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ , นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค, นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์
ทั้งนี้ ดูแล้วเหมือนเป็นการดึงเอาหมอมาเล่นการเมือง มากว่ามาชี้แจงข้อเท็จจริง พราะหมอแถลงโต้ฝ่ายที่รัฐสภา ไม่ใช่ที่กระทรวงสาธารณสุข
กลายเป็นว่า “อนุทิน” ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา แต่กลับไม่ตอบในสภา สั่งหมอมาตอบแทนนอกห้องประชุมอาศัยความเป็น รมว.สาธารณะสุข ทำให้เกิดวาทะ “พูดกันคนละเวที” แล้วประชาชนจะเข้าใจได้อย่างไร
ที่สำคัญมันคุ้มหรือไม่ที่ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข จะถูกมองว่า “อิงการเมือง”
เรื่องที่ 174 บทบาทของ ธปท.ยุค “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ช่วงนี้ เดินเกมก้าวข้ามนโยบายการเงิน ไปยังฟากการคลังและเศรษฐกิจกึ่งการเมืองเล็กๆ แต่อ้างได้ เพราะในภารกิจสำคัญมีมิติเรื่องเศรษฐกิจมหภาครวมอยู่ด้วย กับข้อแนะนำนับแต่ให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มในปีงบ2565 อีก 1 ล้านล้านบาท และปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จาก 7% เป็น 8% แม้ทั้ง 2 เรื่องจะถูกปฏิเสธไปแล้ว แต่สิ่งนี้ถือว่า ธปท.ได้แสดงความเห็นต่อสาธารณะเอาไว้แล้ว หากรัฐบาลและกระทรวงการคลัง บริหารราช การแผ่นดิน โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจมหภาค แล้วเกิดความผิดพลาด ล้มเหลว กลายเป็นความเสียใดๆ ตามมา งานนี้ทั้ง ธปท.และ “เศรษฐพุฒิ” พูดว่า ไม่เกี่ยวไม่ได้แล้ว
งานใหญ่…ถูกติดเบรก! หันมาเล่นงานเล็กๆ บ้างก็ดี เรื่องที่ 175 ธปท.ยุคนี้ ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ประสานแบงก์ออมสิน ภายใต้การนำของ “วิทัย รัตนากร” กับ LINE MANE Wongnai จัดเงินกู้ 4 ประเภทให้คน 2 กลุ่มหลัก ทั้งไรเดอร์ และผู้ประกอบร้านอาหาร รวมถึงที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เฉพาะกลุ่มไรเดอร์ รับเงินกู้ต่อราย 1 หมื่นบาท ดอกเบี้ยแค่ 0.35% ต่อเดือน ขณะที่ร้านอาหารได้เงินกู้สูงถึง 100,000 บาท ดอกเบี้ยไม่ถึง 4% ต้องรีบหน่อย…ถ้าสนใจ เพราะน่าจะมีคนไปใช้บริการเงินกู้เพียบ! รายละเอียดเช็คได้จากเว็บไซต์ aec10news ได้เลย สุดยอดจริงๆ พวกเรา!!
เรื่องที่ 176 ตีคู่มากับ 175 คือ การประสานของ ธปท.กับกระทรวงการคลังคลัง บสย. สมาคมแบงก์รัฐ และสมาคมธนา คารไทย จัดตั้ง “โครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน” สร้างช่องทางแนะนำ ให้ความรู้ และข้อมูลการแก้ไขปัญหาหนี้ครบวงจรแก่ลูกหนี้ SMEs โดยมอบหมายให้ บสย. FA Center ที่มี “สุรชัย กำพลานนท์วัฒน์” กำกับดูแล เป็นตัวกลางในการขับ เคลื่อน และไม่ได้มามือเปล่า แต่มาพร้อมกับ “ที่ปรึกษาเกรด A – อดีตผู้บริหารระดับสูง” ของหน่วยงานรัฐและเอกชน หลายสิบชีวิต ที่เสียสละเวลามาร่วมให้คำปรึกษา แนะนำ รวมถึงชี้แสงสว่างปลายอุโมงค์ให้กับธุรกิจ SMEs ที่ยังไม่มีทางออก ขอบอก! โปรเจ็กต์นี้ดีจริง แนะนำเลย รีบติดต่อเว็บไซต์โครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน ด่วน!
มาติดตามด้านพลังงานกันบาง เรื่องที่ 177 เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดก๊าซเรือนกระจกได้กลายเป็นวาระสำคัญของทุกประเทศทั่วโลก ประเทศไทยก็ได้แสดงบทบาทและเจตจำนงในการร่วมลดโลกร้อนร่วมกับนานาประเทศ เช่นกัน หลายบริษัทด้านพลังงาน อย่างเช่น เอกโก้ บางจาก และอีกหลายบริษัท ต่างก็ได้ปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมกับตั้ง เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050
ขณะเดียวกันทาง สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) ในฐานะอุตสาหกรรมผู้ผลิตปูนซีเมนต์ของไทย ก็ได้ เดิน หน้า ลดก๊าซเรือนกระจกให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สอดคล้องแผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศเช่นกัน “ชนะ ภูมี” นายกสมาคม TCMA บอกว่า ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ทุกรายของไทย ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก สมาชิกจึงได้ตั้งเป้าขับเคลื่อนลดก๊าซเรือนกระจกใน 3 แผนงาน โดยส่งเสริมให้ใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก การพัฒนาเหมืองเป็นแหล่งน้ำ การสร้าง Ecosystem สำหรับการจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่ง 3 แผนนี้ หากได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ก็ยิ่งจะทำให้การลดก๊าซเรือนกระจกเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
เรื่องที่ 178 แม้วิกฤติโควิดในโรงงาน จะยังหนักหน่วง แต่การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมก็ยังต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อเร็วๆนี้ ส.อ.ท.ก็ได้ฤกษ์ จับมือกับ บพข. และ วิศวะจุฬาฯ พัฒนา 5 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม อาทิ ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง อาหาร ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ตามนโยบาย BCG Model “สุพันธุ์ มงคลสุธี” ปธ.ส.อ.ท. อธิบายว่า เหตุผลที่เลือก 5 คลัสเตอร์ เพราะเป็นว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐ กิจของประเทศไทย มีความเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการทุกขนาดโดยเฉพาะ SMEs ซึ่งผลงานวิจัย พัฒนา และการตลาด ผู้ประกอบการจะสามารถสร้างนำไปใช้ประโยชน์ให้เกิดขึ้นจริงกับธุรกิจได้ เพราะเป้าหมายการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรที่น้อยลง คือโจทย์ใหญ่ของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต
เรื่องที่ 179 จริงๆ อยากเขียนนำเสนอเรื่องนี้ เป็นประเด็นข่าวหลัก แต่สถานการณ์การเมืองช่วงอภิปรายฯ กำลังถึงพริกถึงขิง ข่าวลือข่าวปล่อยมัวไป จึงไม่อยากขัดขวางจังหวะการเมืองให้ไขว้เขว คือ เรื่องธนาคารออมสิน ชะลอดำเนินการทางกฎหมาย ไม่ฟ้องร้องลูกหนี้ NPL จากเหตุโควิด 19 เพราะทำให้ขาดรายได้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จากการปิดกิจการ ถูกเลิกจ้าง หรือมีรายได้ลดลง จึงไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยธนาคารจะชะลอการดำเนิน การทางกฎหมายต่อลูกหนี้ NPLs ตั้งแต่บัดนี้ ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
โดยธนาคารออมสินจะช่วยลดภาระลูกหนี้ที่กลายเป็น NPLs ก่อนวันที่ 1 ส.ค.2564 ประกอบด้วยสินเชื่อ 4 ประเภท ได้แก่ 1.สินเชื่อบุคคล-รายย่อย 2. สินเชื่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย 3.สินเชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา และ4.สินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 20 ล้านบาท โดยธนาคารจะชะลอการฟ้องคดีต่อศาลไว้จนถึงสิ้นปี 2564
ธนาคารออมสินช่วงนี้ จึงเป็นเหมือนเพื่อนที่พึงในยามยากของคนประสบชะตากรรมจากพิษโควิด19 และน่าเป็นตัวอย่างที่ดี ให้ธนาคารพาณิชย์เรียนแบบทำตาม ไม่เน้นเอาแต่กำไรเพื่อสนองผู้ถือหุ้น แต่ต้องครองใจลูกค้าและเพิ่มความภักดีให้แก่กันด้วย ไม่ว่า จะเกิดอะไรขึ้น ธนาคารออมสินจะไม่ทิ้งประชาชน และประชาชนก็ไม่ทิ้งธนาคารออมสินเช่นเดียวกัน
ตบท้ายก่อนจากกัน แว่วๆ ว่า เมื่อ 2 วันก่อน อธิบดีกรมศุลกากร มีคำสั่งย้ายข้าราชการระดับปฏิบัติการ วิชาการ รวมไปลูกจ้างศล. (ศุลการักษ์) ทั่วประเทศกว่า 200 คน รวดเดียววันเดียวพร้อมกันหมด สร้างความฮือฮา!! พอสมควร แต่คนวงในชี้ย้ายครั้งนี้ ไม่ใช่ย้ายใหญ่ แต่ย้ายเพื่อปรับและหมุนเวียนกำลังพล และไม่ใช่ย้ายไปที่เปียก ที่แฉะและที่แห้ง แต่อย่างใดครับ
โดย นพวัชร์