ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 25-26 ส.ค.2564
การแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “พรรคก้าวไกล” ถูกโดดเดียว และมองเห็นรอยร้าวระหว่าง “พรรคก้าวไกล” และ “พรรคเพื่อไทย” อย่างชัดเจนมากขึ้น พรรคก้าวไกลนั้น ต้องการระบบการเลือกตั้งที่คล้ายคลึงกับระบบการเลือกตั้งที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพราะระบบลักษณะนี้ ทำให้พรรคก้าวไกล ได้ ส.ส.อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่เมื่อไหร่ที่เปลี่ยนระบบการเลือกตั้งเป็นบัตร 2 ใบ เชื่อได้เลยว่า จำนวน ส.ส.ของพรรคก้าวไกลจะหายไปกว่าครึ่งหนึ่ง”
เรื่องที่ 135 จากเหตุผลที่สำคัญเช่นนี้ “พรรคก้าวไกล” จึงพยายามยกเมฆ ยกสารพัดเรื่องเพื่อขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง และยังบอกว่า การใช้ระบบการเลือกตั้งที่ลดจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจาก 150 คน เหลือ 100 คนนั้น จำทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ แม่ค้า แรงงาน ความหลากหลายทางเพศ ฯลฯ อาจจะไม่มีโอกาสเข้ามาเป็น ส.ส. ได้ เพราะไม่มีทุนเพียงพอที่จะตั้งพรรคการเมืองของตัวเองและชนะการเลือกตั้งได้
อย่างไรก็ตาม หลากหลายรวมถึง ส.ว.เห็นด้วยกับการแก้ไขดังกล่าว แม้หลายพรรคจะเสียประโยชน์กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เหมือนพรรคก้าวไกล แต่ก็เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ควรต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง
มีเพียงพรรคก้าวไกลเพียงพรรคเดียวที่ออกตัวแรงว่า ค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง จึงเกิดคำถามว่าเพราะก้าวไกลเสียประโยชน์กับการแก้ไขครั้งนี้หรือไม่
เรื่องที่ 136 ธปท.อัพเกรดให้ ทีเอ็มบีธนชาต ที่มี CEO ชื่อ “ปิติ ตัณฑเกษม” ติดกลุ่ม D-SIBs หรือแบงก์พาณิชย์ที่มีความ สำคัญต่อระบบในประเทศไปแล้ว หลังเสร็จภารกิจควบรวมกิจการ ที่ยืดเยื้อมานานนับปี ถ้าไม่เรียกว่า “ขึ้นหม้อ!” ทั้งคนและองค์กรที่ดูแล ถือว่า มองข้าม ที่ปรึกษาใหม่ ผู้ทรงอิทธิพลของ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ “สุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์” เกินไป น่านับถือในศักยภาพของ CEO แบงก์ใหญ่…น้องใหม่ล่าสุด รายนี้ ต่อไปนี้…จะเรียก “5 แบงก์ใหญ่” ไม่ได้แล้ว…ต้องบอก “6 แบงก์ใหญ่” นับรวมทีเอ็มบีธนชาตเข้าไปด้วย
แต่พอเอยชื่อ “ปิติ” ก็นึกถึง มาตรการ “คนละครึ่ง” หรือ Co-pay ขึ้นมาทันที อยากรู้ว่า ใครเป็นคนออกแบบดีไซด์กันแน่ เพราะคนวงในที่รู้เรื่องมาตรการนี้ “พูดคนละเรื่องเดียวกัน” จะเทคะแนนความนิยมว่า เก่งฉกาจมอบให้ “ปิติ” ก็ไม่แน่ใจ “สุพัฒน์พงษ์” จะใช่หรือไม่ ก็ยากที่จะเด่า แต่ถ้าจำไม่ไปผิด “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี พูดออกตัวเหมือนกับตัวเองคิด ปิ๊งไอเดีย!! อะไรทำนองนี้ จึงอยากบันทึกไว้เป็นหน้าประวัติศาสตร์ของกระทรวงการคลัง เรื่องนี้ มีอยู่ 4 คนเท่านั้น ที่คิดตั้งแต่เริ่มแรก แต่ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจออกมาตรการเท่านั้นเอง ซึ่งหนึ่งในนั้น เป็นข้าราชการอายุน้อย (เพี้ยนนิดๆ) สังกัดสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อีก 3 คน (ไม่เพี้ยนเพราะโตแล้ว) ขอหลบอยู่ใต้ปีกนกวายุภักษ์ แม้ตำแหน่งจะใหญ่โตแต่ไม่โก้เท่ากับนักเมือง
ส่วน “คุณพี่ปิติ” ที่อ้างว่า ตัวเองคิดมาตการคนละครึ่ง ช่วยโชว์หลักฐานหน่อย จะได้ให้ทั้ง 4 คนของคลังหลบหน้าไป นั่งทำงานเงียบๆ จนเกษียณ “เช้าชาม เย็นชาม” ก็พอแล้ว แต่ถ้าหาก 4 คนนี้ ค้นคิดมาตรการออกมาจริง คนวงใน ที่รู้เรื่อง นี้ต้องยอมตีตั๋วด่วนพิเศษเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือน โปรโมทวางตัวเป็นท่านปลัดคลังในอนาคตได้เลย เพราะเดาว่า “มาตรการคนละครึ่ง” จะถูกใช้ไปอีกนานเท่านาน เหมือนกับโครงการธงฟ้าประชารัฐ มาตราการลดหย่อนภาษีแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟ จากไอเดียเริ่มแรก เพียงแค่ “นาทีทอง” ปีเดียวหนเดียว ผ่านมาถึงปัจจุบัน กว่า 10 ปีแล้ว ยังนาทีทองกันอยู่เลย
เรื่อง 137 เห็น “จารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ” เลขาฯ กอช. ทำตัวเป็น “มดงาน” แล้วเหนื่อยแทน ล่าสุด เพิ่งได้พันธมิตรรายใหม่ อย่าง ThaiPBS มาช่วยโปรโมท… สร้างความรู้ด้านการออมเงินและส่งเสริมให้คนไทยได้เตรียมความพร้อมด้านการเงินก่อนที่เมืองไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในเร็ววัน ก่อนหน้านี้ ได้ร่วมกับหลายหน่วยงาน มีทั้งดึงกลุ่มเด็กวัยศึกษา แรงงานนอกระบบกลุ่มต่างๆ กลุ่มแม่บ้าน องค์กรภาคประชาชน คนสูงอายุ ฯลฯ ล้วนทำมาหมด แต่ยอดกลับพุ่งขึ้นไม่เยอะ ยังนิ่งๆ อยู่กับจำนวนสมาชิกเก่า ที่มีเข้า-ออก ในยุคโควิดฯ ราว 2.4 ล้านคน อย่างเก่งปีนี้ทั้งปี…คงได้ยอดเพิ่มไม่เกิน 100,000 ราย ดูท่าว่า ประธานบอร์ดที่ชื่อ “กฤษฎา จีนะวิจารณะ” น่าจะตั้งแท่น “ชงเรื่องแก้ กม.” เปิดทางให้ คนอายุเกิน 60 ปี ฝากเงินกับ กอช.ได้ หรือเลือกทางอื่น!! ถามท่านปลัดดูยัง
เรื่องที่ 138 จำนวนเงิน 11 ล้านบาทเข้าไปแล้ว สำหรับเงินบริจาคและช่วยเหลือสังคมไทย ในยุคโควิด หลายสายพันธุ์กระจายไปทั่วบ้านทั่วเมือง แต่งานนี้ เชื่อได้ว่า น้ำใจของชาวแบงก์ออมสิน “ธนาคารเพื่อสังคม” ใหญ่หลวงนัก รวมยอดเงินบริจาคล่าสุดให้กับ กทม.จัดสร้างศูนย์พักคอยและซ้อมเครื่องมือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิดแล้ว ขอชื่นชมจากใจจริงต้องยกนิ้วให้ “วิทัย รัตนากร” หลังจากลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้ ก็พอมีเงินเหลือมาทำงาน CSR บ้าง เชื่อเถอะ! คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้!! ขอคารวะหนึ่งจอก
เรื่องที่ 139 เป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าของการพัฒนา “แบตเตอรี่บ้าน” พลังสูง เมื่อ กฟผ.ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) พัฒนานวัตกรรมระบบกักเก็บพลังงาน “Engywall” สำหรับใช้ในบ้าน รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. “จิราพร ศิริคำ” อธิบายให้ฟังว่า พัฒนาการต่อยอด เป็นนวัตกรรมใหม่ โดยนำแบตเตอรี่ที่พัฒนาและผลิตโดย ม.ขอนแก่น มาพัฒนาต่อเป็นระบบกักเก็บพลังงาน หรือ Battery Energy Storage System (BESS) โดยจะเรียกว่า Engywall สำหรับใช้ในบ้าน หน้าตาเจ้าแบตเตอรี่ตัวนี้จะเป็นอย่างไร.. อดใจรอสักนิด อีก 3 ปีได้ยลโฉม…
ยังหนักหน่วง เรื่องที่ 140 สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในโรงงาน ยังลุกลามต่อเนื่อง ล่าสุด จังหวัดกาญจนบุรี ต้องสั่งปิดโรงงานผลิตสายไฟ ของ บริษัท เอสอีดับเบิ้ลยูที กาญจนบุรี จำกัด เป็นการชั่วคราว หลังจากพบว่ามีแรง งาน ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมา ทางโรงงาน จ้างบริษัทเอกชนมาทำการตรวจหาเชื้อในแรงงานทั้งหมดด้วยชุดตรวจ ATK และการตรวจ RT-PCR ปรากฏว่า มีผู้ติดเชื้อถึง 600 คน ทางจังหวัดจึงได้สั่งให้ดำเนินมาตรการ Bubble and Seal อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมการระบาดไม่ให้เกิดผลกระทบกับชุมชนโดยรอบโรงงาน จัดที่พัก แยกผู้ติดเชื้อ ยังดี ที่โรงงานมียาฟ้าทลายโจร มีที่วัดออกซิเจน และมีอาหารดูแลพนักงานทั้ง 3 มื้อ ไม่เช่นนั้น อาจเห็นแรงงานหนีกลับบ้านอีกแน่นอน
โดย นพวัชร์