ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 13-14 ส.ค.2564
“พชร ยุติธรรมดำรง” ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และอดีตอัยการสูงสุด ไม่พอใจละคร “ให้รักพิพากษา” ทางช่อง 3 บอกว่า “บิดเบือน” ผู้จัดทำละครไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยเฉพาะกระบวนการขึ้นบัลลังก์ ของผู้พิพากษา ที่มีถึง 4 คน ทั้งที่จริงเวลาศาลขึ้นบัลลังก์ มีเพียง 3 คน”
เรื่องที่ 79 นอกจากนี้ ประธานอัยการ ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวการสวมเสื้อครุยของผู้พิพากษาว่า ไม่รู้ใช้ถูกต้องหรือไม่ด้วย เรื่องนี้ชาวเน็ตอ่านข่าวแล้ว ก็ต้องงงกันทั้งเมือง มองว่า เหตุใดผู้หลักผู้ใหญ่ จึงแยกแยะไม่ออกระหว่างละคร กับความเป็นจริง อันละครนั้น สร้างมาเพื่อความบันเทิง ใครหวังจะเพิ่มพูลความรู้ด้านกฎหมาย ตลอดจนเสริมความรู้ด้านวิชาการจากการดูละคร ก็คงกระไรอยู่ เพราะเป้าประสงค์ของละคร คือ “ความบันเทิง หาใช่ข้อเท็จจริงไม่”
อันที่จริง ถ้าจะเอาความไม่สมจริงของละครไทย ก็ต้องไล่ไปตั้งแต่การที่นางเอกแต่งตัวปลอมตัวเป็นชาย แล้วไม่มีใครจับได้ อย่างไรก็ตาม มีมุมมองประเด็นดังกล่าว จากชาวเน็ต บอกไว้น่าสนใจว่า “ทีละครหาโวยว่าบิดเบือน ทีมีการบิดเบือนกฎ หมาย บิดเบือนรัฐธรรมนูญ ไม่เห็นออกมาโวยวายสักคำ”
อ่านความเห็นนี้แล้ว จุกทันที เรื่องที่80 งบกลางบนความรับผิดของนายกรัฐมนตรี ในปีงบประมาณ2564 กำหนดวงเงินที่ 6 แสนล้านบาทมากสุดเป็นประวัติการ แต่กลับถูกนำไปใช้แก้ไขปัญหาโควิดน้อยมาก ทั้งที่ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ ก็แทบไม่มีให้เห็น จนรัฐบาลต้องกู้เงิน 1 ล้านล้านบาทมาใช้แก้ปัญหา จะว่า เพราะประเมินผลกระทบจากพิษโควิดต่ำก็ไม่น่าจะใช่ เพราะกว่าจะจัดทำงบประมาณเสร็จ กว่าจะนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และว่า กมธ.งบประ มาณ จะเคาะจนได้ตัวเลขลงตัวนั้น ก็เห็นอยู่แล้วว่า ปัญหาโควิดยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ สรุป! เอาไปใช้อะไรบ้าง ถึงนาทีนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบให้กับคนไทย ยิ่งใกล้ผ่านพ้นงบประมาณปีเก่าย่างเข้าสู่ปีงบประมาณใหม่ กับงบกลางปี2565 ที่ตั้งลดลงมาเหลือ 5.71 แสนล้านบาท ยังนับว่าสูง นายกฯ และรัฐบาลจะเอาไปใช้ในภารกิจใด…คนไทยยังไม่รู้ แต่ที่รู้คือ รัฐบาลเตรียมกู้เงินอีก 5 แสนล้านบาท เพื่อเอามาใช้แก้ไขปัญหาโควิดคิดแล้วให้ปวดขมับยิ่งนัก
เรื่องที่ 80 นาทีนี้…อย่าได้คาดหวังจะเห็นการขยายลงทุนทางธุรกิจภายในประทศ จาก 100 มหาเศรษฐีไทยที่นิตยสาร ฟร้อบส์จัดทำเนียบเอาไว้ แค่ไม่ทำ “บัญชีซ่อนจ่ายภาษี” ก็บุญโขแล้ว แว่วๆ มาว่า หลายตระกูลดัง เตรียมขนเงินจากผลกำไรในประเทศไปลงทุนในเวียดนามและอินโดนีเซีย รวมถึงกลุ่มประเทศ CMLV (กัมพูชา เมียนมา ลาว เวียดนาม) กันแล้ว ที่พอจะมีให้เห็นการลงทุนในไทย คงไม่พ้นเม็ดจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ล่าสุด “รัชดา ธนาดิเรก” รองโฆษกรัฐบาลชื่นชมรัฐวิสาหกิจสายพลังงาน ในความดูแลของ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ที่สร้างคุณูปการต่อระบบเศรษฐกิจไทย หลังเทเม็ดเงินลงทุนช่วงครึ่งแรกปี2564 มากถึง 1 แสนล้านบาท ถามนิด! แค่หนึ่งแสนล้านบาท…จะไปขยับขับเคลื่อนระบบเศรษฐ กิจที่มีมูลค่าจีดีพีราว 16-17 ล้านล้านบาทได้อย่างไร
เรื่องที่ 81 อย่าว่าแต่รายได้ค่าโดยสารทางน้ำของกรมเจ้าท่าที่ “อธิบดี” วิทยา ยาม่วง บ่นเป็นหมีกินผึ้งว่า หดหายอย่างแรงถึง 95% เพราะทุกระบบการเดินทางในยามนี้ ไม่ว่าจะทางอากาศ ทางถนน ระบบรางหรืออะไรก็ตาม ล้วนได้รับผลกระทบจากนโยบายล็อกดาวน์และการประกาศเคอร์ฟิวของรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่เลือกรัฐหรือเอกชน ก็ตายหยังเขียดคือกัน! ตราบใดที่ “ชุดความคิด” ในเชิงนโยบายของรัฐบาลยังเป็นเช่นนี้ เชื่อขนมกินได้เลย…ใคร ลงทุนอะไรไว้ เจ๊งยับหรือขาดทุน ไม่มีความแตกต่างกัน
เรื่องที่ 82 สุดท้ายแล้ว สำหรับวันนี้ ขอประกาศโดยทั่วกันว่า วันที่ 1 ต.ค.2564 กรมสรรพสามิตจะประกาศขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ขึ้นเป็น 40% อย่างแน่นอน หลังจากผ่านพ้นท่าน “อธิบดี” มาหลายยุคหลายสมัยก็ยังไม่ตัดสินใจให้สะเด็ดน้ำ แต่มาปีนี้ “ลวรณ แสงสนิท” อธิบดีกรมสรรพสามิตปัจจุบัน ในฐานะเคยเป็นผอ.สำนักงานนโยบายภาษี มานามหลายปี และในฐานะผู้อำนวยการ สศค.ยืนยันว่า ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ เพื่อให้การปฏิรูปโครงสร้างภาษีเป็นจริง โดยยึดหลักการ 4 ข้อคือ 1.รัฐบาลต้องจัดเก็บรายได้เท่าเดิม 2.เกษตรกรที่เกี่ยวข้องต้องไม่ได้รับผลกระทบ 3.ปัญหาบุหรี่เถื่อน บุหรี่ปลอมทะลักต้องลดลงหรือหมดไป และ4.เพื่อรักษาสุขภาพของคนไทย
โดย นพวัชร์