เปิดใจ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ย้ายขั้ว สู่อ้อมอก “บิ๊กตู่”
ผมนั่งพิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เห็นตัวในตัวตน เห็นกายในกาย จิตในจิตอยู่เสมอ ว่าเราทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ถูกต้องหรือไม่ แต่ถูกใจหรือไม่ถูกใจผมห้ามไม่ได้
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ มีชื่อในฐานะนักตรวจสอบ
เคยยื่นฟ้องร้อง สมัคร สุนทรเวช ว่าการจัดรายการโทรทัศน์ชิมไป บ่นไป ทางช่อง 3 เป็นการผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินให้นายสมัคร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในเวลาต่อมา
แต่แล้วต่อมา “เรืองไกร” สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย สร้างความแปลกใจในจุดยืนทางการเมืองเป็นอย่างมาก
กระทั่งมาวันนี้ “เรืองไกร” คนเดิม เปลี่ยนจุดยืนทางการเมืองอีกครั้ง
โดยย้ายจากฝั่งพรรคเพื่อไทย มีอยู่กับขั้วตรงข้าม คือพรรคพลังประชารัฐ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค พรรคพลังประชารัฐ ที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
“เรืองไกร” พยายามบอกว่า การย้ายค่ายเป็นเรื่องปกติทางการเมือง หาใช่เรื่องผิดแปลก หรือผิดกฎหมาย โดยเขาเลือกย้ายพรรค เพราะเห็นว่า พปชร.มีพื้นที่ให้คนอย่างเขาทำงานมากกว่า
“ไม่ว่าสังคมหรือสื่อมวลชนจะมองอย่างไร แต่เรามีความคิดและวิถีของตัวเราเอง เราถือว่าแม้อยู่ตรงนี้ ก็ไม่ถือว่าผิดกฏหมาย มีสิทธิ์ทำได้ บางคนอาจจะวิจารณ์ว่าเคยเป็นสีเหลืองแล้วมาอยู่สีแดง แล้วก็มาอยู่พรรคร่วมฝ่ายค้าน สุดท้ายมาพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งผมห้ามไม่ได้ ผมไม่ได้แคร์ใคร ผมนั่งพิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เห็นตัวในตัวตน เห็นกายในกาย จิตในจิตอยู่เสมอ ว่าเราทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ถูกต้องหรือไม่ แต่ถูกใจหรือไม่ถูกใจผมห้ามไม่ได้”
“เรืองไกร” เล่าว่า การตัดสินใจย้ายค่าย ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางขั้นรุนแรง เพียงแต่การอยู่พรรคเพื่อไทยนั้น เขามีบทบาทน้อยลง ต้องการย้าย เพื่อให้มีพื้นที่ในการทำงานมากขึ้น
“เราก็ยังต้องทำงานร่วมกันในกรรมาธิการงบประมาณ ก็มีทั้งพรรคเพื่อไทย ก้าวไกล พลังประชารัฐ เสรีรวมไทย หากฝั่งรัฐบาลทำไม่ถูก ผมก็ทักท้วง จะมาบอกว่าไม่สังฆกรรมกันเลยก็คงไม่ใช่ ถ้าบอกว่าผมย้ายข้างทำไม่ถูกต้อง ถามว่าคุณไม่เห็นด้วยกับงบประมาณทำไมคุณเป็นกรรมาธิการ ซึ่งเรื่องนี้ก็ตอบได้ว่า ไม่เกี่ยวกัน ที่ไม่เห็นด้วยเพราะมีเหตุและผล ที่ต้องเป็นกรรมาธิการเพราะต้องการเข้ามาเพื่อปรับลดงบประมาณ หรือรีดไขมันให้น้อยลง”
หลังจากออกจากพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ไม่นาน “เรืองไกร” โชว์ผลงาน ท้วงติง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ออกมาบอกว่าจะปรับโยกและตัดงบประมาณลง ทั้งที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2565 ได้ผ่านความเห็นชอบไปแล้ว โดย “เรืองไกร” บอกว่า ทำเช่นนั้นไม่ได้ ผิดรัฐธรรมนูญ และท้วงติงด้วยความหวังดี
“ที่บอกว่าจะเอางบประมาณไปโปะตรงนั้นตรงนี้ ผมก็เตือนแล้วว่ามันขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมคงไม่นั่งคอยให้เขาทำผิดก่อนค่อยไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ เพราะนั่นเท่ากับรอให้พรรคพวกติดกับดัก แล้วไปร้องเอาสนุกเอามันส์ เพราะเพื่อนเราเสียหายไปคนหนึ่ง เราก็ขาดกำลังไปคนหนึ่ง ส่วนรวมได้อะไร เราไม่สะใจแน่นอน นั่นไม่ใช่นิสัยผม”
ภายหลังรัฐประหารในประเทศไทย 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ออกคำสั่งเรียกเขาให้ไปรายงานตัวหลายครั้ง เขาย้อนกล่าวถึงชีวิตในช่วงนั้น ว่า “ผมถูก คสช.เรียกตัวหลังพูดเรื่องไมค์ทองคำ โดยได้พูดกับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ฝ่ายกฎหมาย คสช. เข้าไปแล้วทหารก็มองว่าผมไม่เคยมีประวัติที่ไม่ดี มีแต่การร้องเรียนซึ่งเป็นการทำหน้าที่ของประชาชน
คสช.เชิญตัวผมอีกครั้งเมื่อผมไปร้องเรียนว่า คสช. เชิญตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งผมก็ไม่ติดใจอะไรเพราะได้พูดคุยกันแล้ว และผู้ใหญ่รับทราบ ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องร้องเรียนสื่อมวลชน
นายทหารยศ พล.ท.บอกกับผมว่า คุณเรืองไกร เตรียมเป็น ส.ว.ด้วยกัน ผมก็บอกว่า ส.ว.เป็นมา 3 ปีแล้ว ผมเบื่อ ผมไม่อยากเป็น และจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้อยากเป็น ส.ส.ไม่เคยไปหวังจะเป็นรัฐมนตรี เพราะผมยังมีครอบครัวที่ต้องดูแล แต่ผมชอบทำงานอย่างอิสระ ตอนนั้นผมยังไม่รับ ส.ว.เลย เรื่องแบบนี้คนไม่รู้และผมก็ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้คนรู้”
สำหรับพรรคเพื่อไทยวันนี้ในมุมมองของ “เรืองไกร” เห็นว่า ยังใช้ศักยภาพของบุคลากรในพรรคน้อยไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าตัวเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
“วันนี้บทบาทของท่านสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แทบจะไม่มีบทบาท พรรคเพื่อไทยจะต้องไปอาศัยพี่โทนี่ คือคุณทักษิณ ชินวัตร ผมก็บอกกลับไปว่า ท่านทักษิณตั้งแต่ปี 44 แล้ว นี่ปี 64 ผ่านไป 20 ปี ทำไมคุณไม่เก่งเหมือนท่านทักษิณ ทำไมวันนี้ยังต้องอาศัยท่านทักษิณ
เขายังวางบทบาทตัวเองในฐานะนักตรวจสอบ แม้จะอยู่ฝั่งรัฐบาล ก็ยังยืนจะทำหน้าที่ตรวจสอบทุกฝ่าย
“ทั้งรัฐบาลทั้งฝ่ายค้านและองค์กรอิสระ ผมไม่เคยกลัวเพราะคนเท่ากัน แม้ผมจะอยู่พรรคพลังประชารัฐ แต่ถ้าผมจะบริจาคเงินให้อีกพรรคการเมืองหนึ่งมันก็เป็นสิทธิ์ของผม เช่นวันก่อนมีเพื่อนต่างพรรคมาขอให้ช่วยบริจาคข้าวสาร เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ผมก็ช่วยเหลือ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปถามว่าอยู่พรรคไหน อะไรที่ช่วยได้เราก็ช่วย เพราะคนรับประโยชน์คือประชาชน คุณจะอยู่ข้างไหนก็ทำงานให้กับประชาชนได้”