ซัมซุงมอบถุงยังชีพ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ
“ซัมซุงมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ สานต่อโครงการ “Samsung Love & Care”
กรุงเทพฯ (28 กันยายน 2563) – นับตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้เผชิญกับร่องมรสุมพาดผ่าน ส่งผลให้เกิดฝนตกต่อเนื่องกระจายในหลายพื้นที่ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนซึ่งได้เผชิญกับวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ โดยอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ถือว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมหนักที่สุดในครั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าทั้งอำเภอมีผู้ประสบภัยกว่า 1,000 ครัวเรือน และมีประชากรกว่า 3,000 คนได้รับความเดือดร้อน ครอบคลุมพื้นที่ 13 หมู่บ้าน 4 ตำบล ประกอบด้วย ตำบลไหล่น่าน ตำบลกลางเวียง ตำบลปงสนุก และ ตำบลขึ่ง โดยจากรายงานพบว่าในบางพื้นที่มีปริมาณน้ำท่วมสูงถึง 2 เมตร
บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก ร่วมกับ มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดโครงการ Samsung Love & Care เพื่อให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนให้ผู้ประสบภัยในภาคเหนือสามารถก้าวผ่านภัยพิบัติในครั้งนี้ โดยซัมซุงได้ระดมพนักงานอาสาสมัครกว่า 40 ชีวิต ร่วมแพ็คถุงยังชีพ จำนวน 500 ชุด และรวบรวมของบริจาคจากพนักงานทั้งบริษัท จำนวนกว่า 1,600 ชิ้น เพื่อนำไปมอบแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน และอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้มีเสื้อผ้าและของกินของใช้ที่จำเป็นในช่วงเวลาที่กำลังจะฟื้นตัว
นายวาริท จรัณยานนท์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เผยว่า “สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและฉับพลันทำให้ผู้ประสบภัยได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนอาหาร น้ำสะอาด และสุขอนามัยที่เหมาะสม อีกทั้งสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านล้วนแล้วแต่พังเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วม รวมถึงหลายครัวเรือนไม่สามารถพักอาศัยในที่พักของตนเองได้ ซึ่งตามที่ทราบจากมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ.นั้น ประชาชนเหล่านี้ยังไม่สามารถฟื้นตัวจากภาวะตกงาน ขาดรายได้ อันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 จนมาถึงสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 14 ปี เราจึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่ทางบริษัทฯ และพนักงานจะได้มีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือและตอบแทนสังคมเพื่อพาคนในชุมชนของเราก้าวข้ามผ่านอุปสรรคในครั้งนี้”
นางสาวมลฤดี เนียมรักษา ผู้ชำนาญการพิเศษ มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า “ความร่วมมือกับทางซัมซุงในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อประสานงานและส่งต่อความช่วยเหลือไปแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่นี้ เราหวังว่าความช่วยเหลือนี้จะเป็นการสนับสนุนและเป็นกำลังใจที่สำคัญที่ช่วยให้ทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว”
ในขณะนี้หลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันอย่างเต็มขีดความสามารถในการเข้าช่วยเหลือ ลำเลียงถุงยังชีพ อาหาร นํ้าดื่ม เข้าพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเป็นจิตอาสาในจิตใจคนไทยที่ไม่ทิ้งกันและพร้อมที่จะเสียสละช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เท่าที่กำลังของแต่ละคนพึงมี เพื่อนำพาให้ประเทศผ่านพ้นอุปสรรคและความท้าทาย
นางพลาพร กรุณา ชาวบ้านต้นหนุน หนึ่งในผู้ประสบภัยน้ำท่วมในอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน กล่าวว่า “น้ำท่วมในอดีตที่ผ่านมาไม่รวดเร็วและรุนแรงเหมือนครั้งนี้ ชาวบ้านเตรียมรับมือไม่ทันทำให้แต่ละครัวเรือนได้รับความเสียหายอย่างมาก ทั้งข้าวของเครื่องใช้และพืชผลทางการเกษตร รู้สึกดีใจและขอบคุณซัมซุงที่ไม่เคยลืมชาวบ้าน โดยเอาถุงยังชีพมาช่วยเหลือให้เราได้นำมาใช้อุปโภคบริโภค”
นายรณกฤต โฆสิตรัตน ตัวแทนอาสาสมัครซัมซุง กล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมกิจกรรมอาสาสมัครซัมซุง จึงมองว่ากิจกรรมนี้เป็นเหมือนโอกาสที่จะมอบสิ่งดีๆ คืนกลับสู่สังคม รู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย และยังถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับคนในองค์กรอีกด้วย ในปีนี้ ผู้ประสบภัย ได้รับผลกระทบทั้งจากโควิด-19 และภัยพิบัติน้ำท่วม เราหวังว่าสิ่งของที่มอบให้จะสามารถช่วยบรรเทาทุกข์ของชาวบ้านและเป็นกำลังใจให้พวกเขาสู้ต่อไป”
Samsung Love and Care เป็นโครงการเพื่อสังคมระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเชียงใต้และโอเชียเนีย โดยเป็นโครงการเพื่อสังคมระยะยาว ริเริ่มขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2556 และยังคงทำอย่างต่อเนื่องทุกปีจนถึงปัจจุบัน ตามวิสัยทัศน์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของซัมซุงทั่วโลก ในการมุ่งสร้างพลังคน มุ่งสร้างอนาคตที่ดีร่วมกัน (Together for Tomorrow! Enabling People) พนักงานอาสาสมัครจากซัมซุง ประเทศไทย ได้เข้าร่วมกิจกรรมในโครงการฯ รวมเป็นเวลากว่า 10,000 ชั่วโมง เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนในสังคม โดยปัจจุบันมีผู้ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการนี้เป็นจำนวนกว่า 10,000 คน