“ซาบีน่า” ลั่นการ์ดไม่ตก ไตรมาสแรกยังโกยกำไร 70.44 ล้านบาท
ซาบีน่า เผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2563 เผยรับผลกระทบจากโควิด-19 หลังรัฐสั่งปิดห้างสรรพสินค้า กระทบรายได้ยอดขายหน้าเคาน์เตอร์และซาบีน่า ช็อป แต่สุดท้ายยังรักษากำไรสุทธิไว้ได้ที่ 70.44 ล้านบาท
ระบุปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ผลประกอบการยังโชว์กำไรสุทธิ มาจากการวางแผนควบคุมต้นทุนตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค. ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง 10% พร้อมเดินหน้าปรับไลน์ผลิตหน้ากากผ้า เพื่อให้พนักงานมีงานทำต่อเนื่อง ย้ำดูแลพนักงานเต็มที่ ไม่ปิดโรงงาน ไม่ปลดคน ไม่ลดเงินเดือน ขณะที่ยอดขายผ่านช่องทาง NSR เติบโต 9% ส่วนยอดส่งออกไปกลุ่มประเทศ CLMV ยังขยายตัว 31% เหตุได้รับผลกระทบโควิด-19 ช้ากว่าประเทศไทย มั่นใจไตรมาส 2 ยังรักษาตัวเลขกำไรสุทธิได้ต่อเนื่อง ก่อนกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3
นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดชั้นในแบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 70.44 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรกของปี 2562 คิดเป็น 26.05% ขณะที่รายได้จากการขายอยู่ที่ 672.44 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 12.66% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 10.3% ลดลงจาก 12.3% จากไตรมาสแรกของปี 2562 โดยปัจจัยหลักที่ทำให้กำไรสุทธิและรายได้จากการขายลดลงนั้น มาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 ที่ทำให้รัฐบาลสั่งปิดห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศเพื่อระงับการแพร่ระบาด โดยทยอยปิดตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้รายได้ช่องทางค้าปลีก (Retail) ผ่านเคาน์เตอร์และซาบีน่า ช็อปในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นช่องทางหลักได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
“แม้ว่ารายได้จากช่องทางรีเทลจะหายไป แต่ในไตรมาสแรก ซาบีน่ายังสร้างการเติบโตผ่านยอดขายในช่องทาง Non Store Retailing (NSR) ทั้งออนไลน์ ทีวี และอื่นๆ ที่ยังเติบโตเพิ่มขึ้นได้ 9% หลังจากบริษัทฯ ปรับกลยุทธ์ให้ผู้บริหารและพนักงานขายสินค้าผ่านทางโซเชียลให้มากขึ้น รวมถึงจัดกิจกรรมผ่านทางเฟซบุ๊ค ไลฟ์ ให้บ่อยขึ้น ขณะที่แคมเปญ “ตั ว ห่ า ง แ ต่ น ม ชิ ด” S t a y H o m e S t i l l D OO M M ที่เกาะกระแส Social Distancing เว้นระยะห่างระหว่างกัน สามารถสร้างกระแสฟีเวอร์ในโลกออนไลน์ ทำให้ยอดขายออนไลน์เติบโตได้ในระดับที่น่าพอใจ เช่นเดียวกับรายได้จากการส่งออก (Export) สินค้าแบรนด์ “ซาบีน่า” ไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) ที่เติบโตจากไตรมาสแรกของปีก่อน 31% เนื่องจากประเทศในกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ช้ากว่าประเทศไทย ทำให้ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ยังมียอดสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนช่องทางการรับผลิต (OEM) ให้กับลูกค้าในแถบยุโรป ลดลง 14.1% ซึ่งเป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก” นายบุญชัยกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า กล่าวด้วยว่า การที่บริษัทฯ ยังสามารถรักษาผลกำไรไว้ได้ในภาวะที่ยากลำบากเช่นนี้ ถือว่าเป็นผลงานที่น่าพอใจ ซึ่งปัจจัยสนับสนุนอีกประการมาจากในช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารได้ร่วมกันประเมินสัญญาณผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และพบว่าอาจจะส่งผลรุนแรงกว่าที่คาด ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจรื้องบประมาณใหม่ เพื่อหาแนวทางในการควบคุมต้นทุนด้านต่างๆ ส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทฯ สามารถลดค่าใช้จ่ายไปได้ถึง 10% โดยไม่มีการปิดโรงงาน ไม่มีการปลดพนักงานและไม่มีการลดเงินเดือน เพราะการดูแลพนักงานให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤติถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของซาบีน่า ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังใช้ช่วงเวลานี้ในการฝึกทักษะต่างๆ ให้กับพนักงาน ทั้งงานด้านการขาย และการผลิต โดยซาบีน่าได้ตัดสินใจเปิดไลน์ผลิตหน้ากากผ้า เพื่อให้พนักงานมีงานทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจนถึงตอนนี้บริษัทฯ มีคำสั่งผลิตหน้ากากผ้าแล้วกว่า 5 ล้านชิ้นจากองค์กรชั้นนำต่างๆ โดยแผนการผลิตถูกวางไปจนถึงเดือนมิถุนายน
ขณะที่ในช่วงไตรมาสที่ 2 (เมษายนถึงมิถุนายน) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากการปิดห้างสรรพสินค้า แต่ซาบีน่าก็ยังสามารถสร้างยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ ที่คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากในเดือนเมษายน บริษัทฯ ได้ออกสินค้าใหม่ในคอลเลคชั่น ThaiFruit ซึ่งเป็นชุดชั้นในลวดลายผลไม้ไทย สีสันสดใส ต้อนรับช่วงซัมเมอร์ โดยมีหน้ากากผ้าลวดลายเดียวกันออกมาวางจำหน่าย เน้นเจาะลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น และในเดือนพฤษภาคม บริษัทฯ ยังได้วางจำหน่ายหน้ากากผ้า Triple Mask (ทริปเพิ้ล มาส์ก) ที่มีคุณสมบัติป้องกันฝุ่นและแบคทีเรีย ออกมาทำตลาดในช่องทางออนไลน์เช่นกัน ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่า จะสามารถรักษาตัวเลขกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 ไว้ได้ และคาดว่า ผลประกอบการจะกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้