“แคปปิตอล วัน” เชื่อ ธปท.เข้มสินเชื่อไม่กระทบแผนรุกเอเชีย
บิ๊ก’แคปปิตอล วัน “เอเยนต์สัญชาติไทย” เชื่อแผนคุมเข้มสินเชื่ออสังหาฯของแบงก์ชาติไม่กระทบฐานลูกค้ากลุ่มลักชัวรี่ ประกาศรุกขยายธุรกิจเอเย่นครอบคลุมเอเชีย ลั่้น 3 ปี พอร์ตขายทะลุ 2 หมื่นล้านบาท พร้อมดึงกลุ่มทุนอสังหาฯจากอเมริกามาเสริมทัพในปีหน้า
ผลพวงกรณี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกประกาศเกี่ยวกับแนวทางพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยครั้งใหม่ เพื่อหวังจะยกระดับมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อ (credit underwriting standards) ของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะเกณฑ์อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (loan to value หรือ LTV ratio) ก่อนจะเปิดรับฟังประชาพิจารณ์ออนไลน์ และประชุมร่วมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องภายนอก กระทั่ง เตรียมการออกประกาศ “กำหนดใช้เกณฑ์ดูแลการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ ในเดือนถัดไป” เพื่อให้มีผลบังคับใช้นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2562
ครั้งนั้น นางวจีทิพย์ พงษ์เพ็ชร ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. พูดชัด…“สิ่งที่ ธปท.กำลังจะทำ คือ สร้างมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่ระมัดระวังและปลอดภัยสำหรับสถาบันการเงินผู้ให้กู้ และผู้กู้ โดยกำหนดบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปีหน้า เฉพาะการปล่อยสินเชื่อใหม่ และการรีไฟแนนซ์ โดยถ้าการขอสินเชื่อบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป หรือบ้านที่มีราคาเกิน 10 ล้านบาท สถาบันการเงินจะให้กู้ได้ไม่เกิน 80% ซึ่งผลที่เกิดขึ้น คือ ประชาชนจะมีวินัยในการก่อหนี้มากขึ้น สำคัญกว่านั้น คือ ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านหลังแรกจะไม่โดนภาวะเก็งกำไรจนต้องซื้อบ้านราคาแพง ทั้งนี้ ธปท. จะขอความร่วมมือไปยังสถาบันการเงินในการให้สินเชื่ออย่างระมัดระวังด้วย”
ล่าสุด นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด (CAPITAL ONE Real Estate) บริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ชั้นนำในเมืองไทย มองว่า จริงๆ แล้ว สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ใช่เพราะอสังหาริมทรัพย์เกิดฟองสบู่เหมือนปี 2540 ที่ระยะนั้น ธนาคารพาณิชย์แข่งขันปล่อยสินเชื่อ มีการปั่นราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และเมื่อเกิดการลอยตัวของค่าเงินบาท ทำให้ฟองสบู่แตก ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบ รุกลามไปถึงภาคสถาบันการเงิน แต่ในปัจจุบัน สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย ประกอบกับผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ก็ดูแลลูกค้า และตรวจสอบลูกค้า เพื่อมิให้เกิดผลในเรื่องของยอดขายที่จะตามมา
“ผมว่า ปัจจุบันอสังหาฯมีปัญหาเรื่องโอเวอร์ซัพพลาย แต่ไม่ใช่ทุกทำเล เป็นแค่บางทำเล บางโปรดักส์ การที่ ธปท.เบรกก็ดี เพราะที่สหรัฐฯภาคอสังหาฯเริ่มมีปัญหา เริ่มเห็นการเกิดฟองสบู่ ราคาสินทรัพย์ในสหรัฐฯเพิ่มมา 4 เท่า และการที่ธปท.ออกมา ก็คงเป็นเรื่องที่หวังดี และในมุมส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่ามาตรการเรื่อง LTV ไม่น่าจะกระทบมากเท่าเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตรงนี้จะตัดกำลังซื้อ และจะยิ่งทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอลงด้วย”
เหตุที่ไม่กังวลใจกับมาตรการ LTV ของธปท. ส่วนหนึ่งคงเพราะเขาได้ชื่อว่าเป็นเชี่ยวชาญการบริหารตลาดคอนโดมิเนียมในโซนสุขุมวิท มีประสบการณ์ในสายงานเอเยนต์อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ มาก่อน ทำให้มีประสบการณ์และมุมมองต่างไปจากผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์หลายคนในประเทศไทย อีกส่วนหนึ่ง คงเพราะความมั่นใจที่มี จึงทำให้เขาวางแผนจะขยายธุรกิจเอเย่นต์ ก้าวสู่ความผู้นำในด้านยอดขายครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย ตั้งเป้าใน 3 ปีแรก ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
โดยภายใน 5 ปี จะให้ก้าวไปสู่ระดับนานาชาติ ที่ให้บริการไปถึงตลาดในสหรัฐอเมริการและในกลุ่มประเทศยุโรป โดยก้าวสำคัญของการผลักดันธุรกิจในไทย โดยภายในปี 2562 เตรียมจะเปิดตัวพันธมิตรทางธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในธุรกิจเอเยนต์มานาน จัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา เพื่อร่วมกันขยายโอกาสการให้บริการกับโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่
สำหรับแผนปี 2561 นายวิทย์ ย้ำว่า บริษัทฯจะไม่เน้นเพิ่มปริมาณการบริหารโครงการ แต่จะให้ความสำคัญกับการขายมากกว่า พอร์ตที่รับผิดชอบมีประมาณ 14 โครงการ มูลค่าการขาย 8,000-9,000 ล้านบาท ราคาที่ทำตลาด 3-12 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยของสินค้า 3-8 ล้านบาท สัดส่วน 80% จะเป็นโครงการในโซนสุขุมวิท ฐานลูกค้าระดับ B ถึง A ผลงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2561) สามารถสร้างยอดขายมูลค่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกค้าคนไทยประมาณ 2,000 ล้านบาท เพราะมีฐานลูกค้า 30,000-40,000 ราย
ที่เหลืออีก 1,000 ล้านบาท เป็นลูกค้าต่างประเทศ มีทั้งมาจากประเทศจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ โดยมีบริษัทในเครือ ได้แก่ CAPITAL ONE International Co., Ltd ดูแลตลาดต่างประเทศ บริษัท CAPITAL ONE Hong Kong Lmited-Hong Kong ทำตลาดครอบคลุมลูกค้าชาวจีน มีฐานลูกค้าประมาณ 10,000 ราย และบริษัทยังมีระบบฐานข้อมูล(ดาต้าเบส) ลูกค้าในภูมิภาคเอเชียกว่า 100,000 ราย เป็นต้น
” ด้วยศักยภาพของ แคปปิตอล วัน สามารถรับบริหารต่อโครงการได้มูลค่าไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ เราคาดว่าจะมีอัตราเติบโตระดับ 20% แต่จริงๆแล้ว ที่ผ่านมา จะมียอดขายเกินมา 50% ทุกปี เนื่องมาจากการที่ลูกค้าบอกต่อ มุ่งมั่นพัฒนาระบบฐานข้อมูล(ดาต้าเบส) อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะรักษาและควบคุมไม่ให้บริษัทโตก้าวกระโดด เพื่อจะได้สามารถดูแลลูกค้าให้ทั่วถึง ทำธุรกิจได้ยาว ซึ่งในมุมมองแล้ว ธุรกิจโบรกเกอร์ในปัจจุบันต้องปรับตัวให้มาก เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในขณะนี้ อย่าไปคิดเก็บกินบุญเก่า แต่เราต้องมีในเรื่องของยุทธศาสตร์ในการทำธุรกิจ มีบริการการขายที่ดี มีพนักงานที่ดี มีฐานะข้อมูลที่ดี และต้องเป็นข้อมูลที่เป็นจริง และสภาพตลาดที่เป็นอยู่ขณะนี้ ผมว่าดี ดีตรงที่คู่แข่งน้อย และมีโอกาสที่จะก้าวสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ” นายวิทย์ ย้ำที่สุด!.