EIC ปรับใหม่จีดีพี 61 ชี้ส่งออกปีหน้าชะลอตัว
ศูนย์วิจัยฯไทยพาณิชย์ วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยทั้งปี 61 โตจากคาดการณ์เดิม 4.3% เป็น 4.5% หลังสภาพัฒน์ฯแถลงจีดีพีไตรมาส 2 ต่อเนื่องที่ 4.6% ชี้ปัจจัยในประเทศเป็นตัวหนุนเศรษฐกิจ ขณะที่แนวโน้มส่งออกในปีหน้าอาจชะลอตัว เหตุชาติคู่ค้าทั้งสหรัฐฯ อียู ญี่ปุ่นและจีน มีเศรษฐกิจที่ทรุดตัวลง แนะจับตาสงครามการค้าและมาตรการกีดกันเก่าใหม่
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ออกบทวิเคราะห์เศรษฐกิจภายหลังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาส 2 ปี 2018 ขยายตัว 4.6%YOY (เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน) หรือเติบโต 1.0% หากเทียบกับไตรมาสก่อนแบบปรับฤดูกาล ทำให้ GDP ของไทยครึ่งปีแรกขยายตัวได้ที่ 4.8%YOY
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2018 ขยายตัวจากทุกหมวดการใช้จ่าย (broad-based) ทั้งการบริโภคและการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงอุปสงค์จากต่างประเทศมีการขยายตัวพร้อมกันคล้ายกับลักษณะการเติบโตในไตรมาสแรก โดยในไตรมาสที่ 2 หลายหมวดการใช้จ่ายมีการเติบโตแบบเร่งขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกสินค้า
อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนเร่งตัวขึ้นสูงจากยอดขายรถยนต์ แต่การบริโภคสินค้าไม่คงทนชะลอตัว การบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวได้ 4.5%YOY เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 3.7%YOY และถือเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1/2013 โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการบริโภคในหมวดยานพาหนะที่เติบโตถึง 15.3%YOY ตามยอดขายรถยนต์นั่งที่เติบโตสูง ด้านการบริโภคสินค้ากึ่งคงทนขยายตัวที่ 3.8%YOY เร่งขึ้นจาก 2.4%YOY ในไตรมาสก่อนหน้าเช่นกัน อย่างไรก็ดี การบริโภคสินค้าไม่คงทนเติบโตที่ 1.5%YOY ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.1%YOY นำโดยการชะลอตัวของการบริโภคหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ที่ขยายตัวที่ 2.0%YOY ชะลอลงจาก 2.7%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า
นอกจากนี้ การลงทุนทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐที่ขยายตัวเร่งขึ้น โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ 3.2%YOY เร่งขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าที่3.1%YOY นำโดยการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยายตัวที่ 3.3%YOY เร่งขึ้นจาก 3.1%YOY แต่การลงทุนด้านการก่อสร้างเติบโต 2.8%YOY ชะลอลงจาก3.4%YOY ในไตรมาสก่อน ขณะที่ด้านการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 4.9%YOY เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 4.0%YOY นำโดยการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นสำคัญ
ดังนั้น SCB EIC จึงมองเศรษฐกิจไทยว่าจะยังขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปี 2018 ไปจนถึงปีหน้า แต่อาจชะลอความร้อนแรงลง โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี2018 จะขยายตัวที่ 4.5%YOY (ปรับขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 4.3%YOY) คาดว่าในครึ่งปีหลังจะขยายตัวเฉลี่ยที่ราว 4.2%YOY ซึ่งยังถือเป็นอัตราการเติบโตที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ราว 2.8%YOY โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การเติบโตในครึ่งปีหลังจะชะลอลงบ้างจากปัจจัยฐานสูงและการชะลอตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศ
ด้านการส่งออกสินค้า SCB EIC มองว่า ในภาพรวมจะยังขยายตัวได้ดีกว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแต่อาจเริ่มชะลอตัวลงบ้างเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกตามการค้าโลกที่เริ่มเติบโตช้าลงจากช่วงก่อนหน้า สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมของโลก (Global Manufacturing Purchasing Managers’ Index) ที่ยังบ่งชี้การขยายตัวแต่มีทิศทางชะลอลงตั้งแต่ช่วงต้นปี
ทั้งนี้ ทิศทางการส่งออกในปีหน้าก็มีแนวโน้มจะขยายตัวในอัตราชะลอลงเช่นกัน โดยจากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2019 ของคู่ค้าสำคัญของไทย ได้แก่ สหรัฐฯ กลุ่มประเทศยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน จะชะลอลงกว่าในปีนี้ นอกจากนี้ จากการประเมินขององค์การการค้าโลก หรือ WTO มูลค่าการค้าโลกในปี 2019 ก็จะขยายตัวช้ากว่าในปี 2018 เช่นกัน นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลกระทบของสงครามการค้าจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่บังคับใช้ไปแล้ว รวมถึงความเสี่ยงที่จะมีมาตรการอื่น ๆ ออกมาอีกเพิ่มเติมในระยะต่อไป
SCB EIC ประเมินการท่องเที่ยวจากต่างชาติ ด้วยว่า จะยังมีการเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน แต่ในช่วงครึ่งปีหลังอาจชะลอลงจากการลดลงในระยะสั้นของนักท่องเที่ยวจีนบางส่วน จากกรณีอุบัติเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต และปัจจัยฐานสูงในช่วงไตรมาสที่ 4 นอกจากนี้ การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวในปีหน้ายังอาจเริ่มเผชิญกับข้อจำกัดของกำลังการรองรับของสนามบินหลัก
สำหรับรายได้ภาคครัวเรือนนั้น ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวแต่การเร่งการใช้จ่ายยังต้องใช้เวลา สัญญาณในด้านรายได้ของภาคครัวเรือนเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีแรก จากจำนวนผู้มีงานทำและค่าจ้างเฉลี่ยรายเดือนของลูกจ้างปรับเพิ่มสูงขึ้นที่ 0.3%YOY และ 2.1%YOY ตามลำดับ รวมไปถึงรายได้เกษตรกรที่เริ่มเพิ่มขึ้นเช่นกันที่ราว1.7%YOY (คำนวณจากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าในไตรมาสที่ 2 การบริโภคสินค้าไม่คงทนซึ่งสะท้อนสัดส่วนการบริโภคที่ค่อนข้างสูงของกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยถึงปานกลางยังคงเติบโตในระดับต่ำและชะลอตัวลง บ่งชี้ว่าการที่ครัวเรือนจะเพิ่มการใช้จ่ายน่าจะยังมีข้อจำกัด เพราะ รายได้เพิ่งเริ่มฟื้นตัวและไม่ได้เป็นการฟื้นตัวในอัตราที่สูงมากนัก ขณะเดียวกันครัวเรือนในกลุ่มนี้ก็ยังคงมีภาระหนี้ต่อรายได้ที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนยังคงต้องพึ่งพาการใช้จ่ายของผู้มีรายได้สูงเป็นหลัก.