‘ASW’ จับมือ ‘ทาคาระ เลเบ็น’ ดีเวลอปเปอร์ชั้นนำจากญี่ปุ่นลุยอสังหาฯ ต่อเนื่อง
“บมจ.แอสเซทไวส์” หรือ ASW ผนึกกำลังอย่างต่อเนื่องกับ “ทาคาระ เลเบ็น” ดีเวลอปเปอร์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ร่วมทุนพัฒนาคอนโดมิเนียม “แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี” เป็นโครงการที่ 3 ภายในระยะเวลา 2 ปี ตอกย้ำความเชื่อมั่นในบริษัทฯ และโครงการศักยภาพบนทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูสถานีตลาดมีนบุรี ชูจุดเด่นคอนโดฯ อยู่ในพื้นที่เฟสแรกของโครงการ WISEPARK พร้อมพัฒนาคอมมิวนิตี้รองรับไลฟ์สไตล์ตอบสนองทุกเจเนอเรชั่น คาดแล้วเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/2566
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” เปิดเผยว่า บริษัท ทาคาระ เลเบ็น (Takara Leben) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ได้ร่วมทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์กับบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดตกลงร่วมทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม “แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี” (Atmoz Flow Minburi) โดยบริษัทฯ ถือหุ้น 51% และทาคาระ เลเบ็น ถือหุ้น 49% ซึ่งนับเป็นการร่วมทุนพัฒนาคอนโดฯ กับบริษัทฯ เป็นโครงการที่ 3 ภายในระยะเวลา 2 ปี ต่อจากโครงการคอนโดฯ แอทโมซ ทรอปิคาน่า บางนา และเคฟ ซี๊ด เกษตร แคมปัสคอนโดฯ ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
“การที่ทาคาระ เลเบ็น ร่วมทุนพัฒนาโครงการกับบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่พาร์ทเนอร์มีต่อบริษัทฯ รวมทั้งศักยภาพของโครงการ “แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี” บนทำเลย่านมีนบุรี ที่จะยกระดับเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจ และแหล่งงานแห่งใหม่ของพื้นที่กรุงเทพฯ โซนตะวันออก ทั้งนี้ปัจจุบันทางทาคาระ เลเบ็น ได้ร่วมทุนกับทางบริษัทฯ รวม 3 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 5,000 ล้านบาท และคาดว่าทางพาร์ทเนอร์พร้อมที่จะร่วมทุนโครงการกับบริษัทฯ ต่อไปในอนาคต” นายกรมเชษฐ์ กล่าว
โครงการแอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี ออกแบบเป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 739 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพตรงข้ามตลาดมีนบุรี และห่างจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีตลาดมีนบุรีเพียง 300 เมตร ซึ่งคาดว่าจะเปิดบริการอย่างเป็นทางการภายในปีนี้ พร้อมจัดสรรพื้นที่ส่วนกลาง และสิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) อย่างครบครัน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยทุกเจเนอเรชั่นได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างลงตัว พร้อมกันนี้ได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบห้องชุดพักอาศัยที่สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยทุกช่วงวัย ทั้งเด็ก วัยรุ่น วัยทำงานและผู้สูงอายุ โดยนำร่องเป็นโครงการแรกที่บริษัทฯ พัฒนาห้องชุดแบบ “All Gen” เพื่อให้ลูกค้าทุกวัยเข้ามาอยู่อาศัยในคอนโดฯ ได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ คอนโดฯ แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี ยังเป็นการพัฒนาพื้นที่ในเฟสแรกของWISEPARK บนที่ดินผืนใหญ่พร้อมพัฒนาคอมมิวนิตี้รองรับไลฟ์สไตล์ตอบสนองทุกเจเนอเรชั่น ทั้งนี้คอนโดฯ แอทโมซ โฟลว์ฯ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ภายในไตรมาส4/2566
นายคาซูอิชิ ชิมาดะ (Kazuichi Shimada) CEO บริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มองโอกาสร่วมทุนเพื่อขยายการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยจากประสบการณ์ที่บริษัทฯ ได้ร่วมทุนพัฒนาคอนโดฯกับASWมาแล้วก่อนหน้านี้ บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในองค์กร ทีมผู้บริหาร ที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ และมีปรัชญาในการดำเนินธุรกิจตรงกัน คือยึดมั่นในการออกแบบความสุขเพื่อการอยู่อาศัย ตลอดจนศักยภาพโครงการและทำเลที่ตั้งคอนโดฯ แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี ซึ่งอยู่ติดรถไฟฟ้า แวดล้อมด้วยแหล่งงานและสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ นิคมอุตสาหกรรม, โรงพยาบาล ฯลฯ จึงไม่ยากที่ตัดสินใจร่วมทุนพัฒนาโครงการร่วมกัน
บริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น มีประสบการณ์พัฒนาอสังหาฯ มาแล้วกว่า 500 โครงการ ภายใต้แบรนด์ Leben , The Leben , Nebel และ Leben Platz และมีธุรกิจโรงไฟฟ้า และโรงแรมในญี่ปุ่น ปัจจุบัน ทาคาระ เลเบ็น ขยายการลงทุนอสังหาฯ ไปในภูมิภาคอาเซียน เช่น ไทย, เวียดนาม เป็นต้น
ทั้งนี้ ASW ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 47โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 49,900 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 34 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 13 โครงการ ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 11,400 ล้านบาท