เปิดมุมมองทุกด้าน “สุขภาวะ+ทางรอดสื่อไทยฝ่าภัยโควิด”
สสส.ผนึกมสส. นำทีม “นักวิชาการและสื่อ” ร่วมถกออนไลน์ หัวข้อ “สุขภาวะและทางรอดสื่อมวลชนไทยฝ่าภัยโควิด-19” แนะให้สื่อปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยี พร้อมเปลี่ยนเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สมาคมวิชาชีพสื่อ และสื่อมวลชนแขนงต่างๆ จัดประชุมระดมความเห็นผ่านระบบ Zoom เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2564 หัวข้อ ”สุขภาวะและทางรอดสื่อมวลชนไทยฝ่าภัยโควิด-19” หลังจากประสบปัญหาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และเป็นสาเหตุทำให้ “คนทำสื่อ” ถูกปลดออกเลิกจ้าง ลดเงินเดือนจำนวนมากแล้ว เมื่อมาเจอพิษโควิดซ้ำเติม ดังนั้น จึงมีข้อเสนของนักวิชาการที่แนะให้สื่อต้องปรับตัว ทั้งเทคโนโลยีและเนื้อหาไปสู่คุณภาพ ขณะที่ตัวแทนสื่อเผยมีสื่อที่เดือดร้อนอีกมากเรียกร้องให้สำรวจข้อมูลเร่งด่วน เสนอควรจะผลักดันตั้งกองทุนเยียวยาผลกระทบ
รศ.ดร.กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. กล่าวถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อและโควิด-19 ของสื่อมวลชน ว่า ก่อนการระบาดของ โควิด-19 ธุรกิจสื่อและ คนทำงานด้านสื่อสารมวลชนได้รับผลกระทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี หรือ Digital transformation โดยเฉพาะสื่อกระแสหลักทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์และวิทยุล้วนได้รับ ผลกระทบมีทั้งการปิดตัวเลิกกิจการ เลิกผลิตสื่อ โดยมีการปลดออก เลิกจ้าง หลายสื่อมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดโดยหันมาทำสื่อออนไลน์ และ Social Media กันมากขึ้น เนื่องจากสังคมไทยได้เข้าสู่ยุคโมบายมีเดีย
ดังนั้น เมื่อมาเจอการระบาดที่รุนแรงของโควิด-19 ยิ่งทำให้สื่อมวลชนจะต้องปรับตัวเร็วขึ้นและแรงขึ้นสื่อต้องอยู่ได้และอยู่เป็นทุกคนต้องเชื่อมั่นในศักยภาพและเติมจุดแข็งให้กับตัวเอง หากสื่อกระแสหลักถ้าไม่ปรับตัวก็จะอยู่ไม่ได้เพราะโควิด-19 ทำให้คนอยู่กับบ้านมากขึ้น ทีวีก็จะมาอยู่บนโลกออนไลน์ กิจกรรมของคนอยู่บนโลกออนไลน์ ทั้งการซื้อสินออนไลน์ การขายของออนไลน์ เม็ดเงินจากการโฆษณาจากภาคธุรกิจ เอกชนก็จะไปสู่โลกออนไลน์มากขึ้น
“สิ่งสำคัญคือ สื่อต้องปรับตัวนำเสนอเนื้อหาข่าวสารต่างๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพราะผู้บริโภคมีคุณภาพมากขึ้น ข่าวและข้อมูลจะต้องมีความลึกมีความ น่าเชื่อถือ ผู้บริโภคจะเป็นผู้เลือกว่าต้องการข่าวแบบไหน เพราะฉะนั้นคนทำงานด้านสื่อสารมวลชนจะต้อง มีความรู้เรื่องดิจิตอล ต้องมีจริยธรรม มีจรรยาบรรณ คุณธรรมควบคู่ไปกับถูกตรวจสอบได้ โดยเฉพาะสื่อ ดั้งเดิมซึ่งมีประสบการณ์เป็นจุดได้เปรียบอยู่แล้วแต่จะต้องทำการบ้านเยอะขึ้นเพิ่มบทบาทของผู้ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารหรือ Data Analysis ต้องตรวจสอบข่าวปลอมเป็น “ในอนาคตหลัง โควิด-19 ธุรกิจสื่อและคนทำงานด้านสื่อจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเพราะทุกอย่างจะอยู่บนโลกออนไลน์ อยู่บนมือถือ ผู้บริโภคจะมีการวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการสื่อสารมีผลต่อสังคมและโลกทั้งโลก ผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารจะรู้เท่าทันสื่อจึงต้องคำนึงว่าจะผลิตสื่อให้มีคุณภาพมากขึ้นได้อย่างไรในสังคมแห่งความรู้หรือ Knowledge Society” รศ.ดร.กุลทิพย์ กล่าว
นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่อมวลชนที่มีบาทอยู่ในองค์กรวิชาชีพมายาวนาน กล่าวว่า สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มีหน้าที่กำกับดูแลองค์กรสื่อต่างๆที่เป็นสมาชิก ส่วนการดูแลคนทำสื่อเป็นรายบุคคลมีองค์กรวิชาชีพสื่อต่างๆดูแลอยู่แล้ว ยอมรับว่าผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและโควิด19 มีผลมาก สื่อมวลชนไม่น้อยตกงาน ส่วนที่ยังอยู่ก็ต้องมีการปรับตัวขณะนี้เรามีการจัดอบรมต่างๆเพื่อยกระดับทักษะความสามารถให้อยู่รอดต่อไปได้ โดยเฉพาะการทำสื่อใหม่ทางออนไลน์จะต้องพัฒนาเรื่องเนื้อหาดีๆควบคู่ไปกับการตลาดเผยสู่สาธารณะที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและสร้างรายได้กับคนทำสื่อด้วย ส่วนการช่วยเหลือสื่อมวลชนที่เดือดร้อนนั้น สมาคมวิชาชีพมีกองทุนการช่วยเหลือฉุกเฉินเฉพาะเรื่องการตกงานแต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นสมาชิกขององค์กรนั้นด้วย ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกจะไม่ได้การช่วยเหลือตรงนี้ ขณะเดียวกันยังมีโครงการที่พยายามช่วยเหลือสื่อมวลชนที่ตกงานด้วยการจัดทำโครงการเสนอขอรับทุนจากผู้สนใจเพื่อทำข่าวเจาะในเชิงลึกเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยากเกาะติด รวมทั้งการเปิดช่องทางออนไลน์ให้สื่อที่ต้องการหางานกับธุรกิจหรือองค์กรที่ต้องการคนทำงานได้เจอกันก็จะช่วยได้อีกทางหนึ่ง
ด้าน นางสาวชามานันท์ สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์เพื่อลดปัจจัยเสี่ยง กล่าวว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เห็นความสำคัญของบทบาทสื่อมวลชนในการเป็นสื่อกลางสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาวะกับประชาชนทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา สสส.และภาคี จึงได้ทำงานร่วมกับสื่อมวลชนในรูปแบบต่างๆ เพราะถือว่าสื่อมวลชนก็เป็นกลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาวะทั้ง 4 มิติ เช่น สุขภาวะทางกาย มีสื่อมวลชนบางส่วนทีมีพฤติกรรมเสี่ยงเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ สื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยมีความเครียด โดยเฉพาะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อและผลกระทบจากวิกฤต โควิด-19 ต่อสื่อมวลชนในช่วงนี้
สสส. และภาคีเครือข่าย จึงให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและร่วมกันสนับสนุนให้สื่อสื่อมวลชนผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ มีสุขภาวะที่ดีทั้งกาย จิต สังคม ปัญญา และยังคงดำรงบทบาทสำคัญในการสร้างการเรียนรู้และการรู้เท่าทันให้กับประชาชน โดยเฉพาะภัยที่มาจากออนไลน์ทั้งการพนัน การหลอกลวง เกมส์ออนไล ฯลฯ อยากให้สื่อตอกย้ำนำเสนอต่อเนื่องรวมทั้งการชี้นำสังคมในทิศทางที่ดีด้วย นำเสนอข่าวสารที่มีคุณค่าภายใต้จรรยาบรรณและจริยธรรมสื่อ ขณะเดียวกันได้เสนอให้สื่อเปิดพื้นที่ในการเสนอข่าวประเด็นสุขภาวะให้มากขึ้นมีการทำงานร่วมกันกับภาคีของสสส.ในอนาคตมากขึ้นด้วย
ขณะที่ นายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ กล่าวว่า ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสู่ดิจิทัลต่อสื่อมวลชนที่ว่ารุนแรงแล้วเมื่อเจอวิกฤตโควิด 19 ซ้ำเติมเข้ามาอีกทำให้คนทำงานสื่อมวลชนประสบความยากลำบาก หลายคนต้องว่างงาน หลายคนถูกลดค่าจ้างเงินเดือน สื่อมวลชนหลายคนหรือคนในครอบครัวติดโควิด19 มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.)จึงอยากเสนอให้มีการจับมือกันขององค์กรวิชาชีพสื่อ ภาคเอกชนและองค์กรต่างๆในการเยียวยาลดผลกระทบในรูปแบบต่างๆ เช่นการตั้งกองทุนขึ้นมาช่วยเหลือ โดยมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะพร้อมจะจับมือกับทุกฝ่ายในการดำเนินการในเรื่องนี้
ในขณะที่ผู้แทนสื่อมวลชนหลายคน เช่น นายศักดา แซ่เอียว หรือ “เซียร์” นักวาดการ์ตูนจาก นสพ.ไทยรัฐบอกว่า มีสื่อมวลชนไม่น้อยที่ออกจากงานแล้วยังไม่มีงานอยู่ด้วยความยากลำบาก โทรมาหาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร จึงอยากจะให้สำรวจข้อมูลคนเหล่านี้ด้วย
ส่วน นายเจก รัตนตั้งตระกูล ผู้ประกาศข่าวชื่อดังจาก TNN ระบุว่า สื่อประสบปัญหามากอยากจะให้ช่วยพัฒนาทักษะออนไลน์ โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพใจและสุขภาพกายของสื่อ จึงอยากจะให้มีเวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันทางออนไลน์บ่อยๆ
ด้าน ตัวแทนสื่อจากอื่นๆ ทั้งจากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อออนไลน์ รวมทั้งสื่อท้องถิ่น ได้เสนอความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น พร้อมเรียกร้องให้มีการสำรวจจำนวนสื่อมวลชนที่ได้รับความเดือนร้อนเพื่อจะหาทางช่วยเหลือเยียวยากันต่อไปและเห็นด้วยหากทุกฝ่ายจะร่วมมือกันผลักดันให้เกิดกองทุนช่วยเหลือผลกระทบที่เกิดขึ้น.