ยกระดับ “นิคมฯ บางชัน” เป็น Eco-Excellence
“วีริศ”เผย“นิคมฯบางชัน”ผ่านการตรวจประเมินรับรองเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับ Eco-Excellence ชี้พื้นที่สีเขียวรวมกันเกินร้อยละ 20 ของพื้นที่อุตสาหกรรม
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า นิคมอุตสาหกรรมบางชัน เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ได้ผ่านการตรวจประเมินรับรองจากคณะกรรมการตรวจประเมินเพื่อให้การรับรองการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับ Eco-Excellence หรือนิคมอุตสาหกรรมที่สามารถพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมให้ยั่งยืน บนพื้นฐานความสมดุลของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
โดย กนอ.ได้แบ่งการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ออกเป็น 3 ระดับ คือระดับ Eco-Champion, ระดับ Eco-Excellence และระดับ Eco-World Class โดยมีเป้าหมายระยะยาวในการยกระดับนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้การกำกับดูแลของ กนอ.ทุกแห่งให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ
โดยปีนี้มีเป้าหมายยกระดับนิคมอุตสาหกรรมขึ้นสู่ระดับ Eco-Excellence จำนวน 3 แห่ง ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมบางชันเป็นหนึ่งในเป้าหมาย ทั้งนี้ กนอ.ได้สร้างความตระหนักรู้ให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุดซึ่งเข้าใจว่าอาจมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนั้น กนอ.กำลังเร่งหามาตรการจูงใจผู้ประกอบการว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง เพื่อไม่ใช่ขอความร่วมมือหรือความสมัครใจเพียงอย่างเดียวแต่จะทำให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้น
สำหรับนิคมอุตสาหกรรมบางชันและโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม มีการจัดทำแนวป้องกันหรือพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Buffer Zone) หรือพื้นที่สีเขียวรวมกันมากกว่าร้อยละ 20 ของพื้นที่อุตสาหกรรม รวมทั้งดำเนินงานด้านการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน อาทิ จัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ด้านการพัฒนาทักษะอาชีพให้ชุมชน ช่วยจัดหาช่องทางการจัดจำหน่าย จัดทำโครงการช่วยเหลืออุปกรณ์ประกอบการเลี้ยงเป็ดไก่
และนำของเสียจากโรงงานผลิตอาหารมาปรับปรุงเพื่อสร้างมูลค่าเป็นอาหารสัตว์และลดมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ประชากรในชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม มีรายได้ต่อครัวเรือนสูงขึ้น อีกทั้งมีการใช้วัตถุดิบ น้ำ พลังงาน และทรัพยากรอื่นๆ ร่วมกัน (Symbiosis หรือ Circular economy) อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดการเกิดของเสีย และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้วย
อีกทั้งโรงงานในนิคมฯ ยังมีการแลกเปลี่ยนหรือใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ หรือมีการแลกเปลี่ยนระหว่างโรงงานกับภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระบวนการกลั่นตัวทำละลายกลับมาใช้ใหม่ และกระบวนการแยกอลูมิเนียมกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งลดค่าต้นทุนวัตถุดิบได้ประมาณ 5%