สันติภาพริบหรี่ในเมียนมา
การพูดคุยเพื่อสันติภาพรอบที่ 2 ระหว่างรัฐบาลเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ในสัปดาห์ที่แล้วจบลงโดยไม่มีสัญญาณความก้าวหน้า แต่อย่างน้อยทั้งสองฝ่ายก็เห็นพ้องที่จะพยายามต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป็นฉันทามติในประเทศที่ความขัดแย้งรุนแรงยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
การประชุมสันติภาพปางหลวงแห่งศตวรรษที่ 21 จัดขึ้นในวันที่ 24 – 28 พ.ค. ในกรุงเนปิดอว์ โดยโต๊ะเจรจามีผู้แทนจากกลุ่มติดอาวุธที่เป็นชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มที่เคยมีการสู้รบกันมาอย่างยาวนาน
เพื่อเรียกร้องสิทธิในการมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างที่เห็นสมควร โดยการต่อสู้กินเวลายาวนานเกือบ 7 ทศวรรษ ขณะนี้มีการพักรบเพื่อเจรจาเรื่องสันติภาพ แต่ผลลัพธ์ที่ถาวรมั่นคงจากการเจรจายังคงริบหรี่
อดีตรัฐบาลภายใต้การนำของนายพลเต็งเส่งเสนอให้มีการหยุดยิงสำหรับ 15 กลุ่มที่ต่อสู้กัน บางกลุ่มยอมรับข้อเสนอ แต่อีก 7 กลุ่มปฏิเสธ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กลุ่มชาติพันธุ์ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ นำโดยกลุ่มชาติพันธุ์ว้า มีการเจรจาพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการกับนางอองซาน ซูจี ประธานที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมา
ทั้งนี้ นางอองซาน ซูจี เป็นผู้ริเริ่มให้มีการประชุมเพื่อสันติภาพในเวลาปัจจุบันที่เป็นเหมือนจุดกำเนิดของข้อตกลงปางหลวง โดยนายพลอองซานบิดาของเธอ ได้เคยลงนามในข้อตกลงตั้งแต่ปี 2490 ให้กลุ่มชาติพันธุ์มีอำนาจในการตัดสินใจได้อย่างอิสระ แต่ข้อตกลงนี้ไม่เคยมีการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเลย นางซูจีจึงต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะนำความสงบมาสู่ประเทศ
โดยการประชุมรอบที่ 2 ในสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้แทนเข้าร่วมมากกว่า 700 คน ทั้งผู้แทนจากรัฐสภากองทัพ
พรรคการเมือง กลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ และพลเมืองกลุ่มน้อยที่ไม่ได้มีส่วนในการสู้รบ ในการประชุม มีการตกลงเห็นพ้องใน 37 ข้อเสนอจากทั้งหมด 41 ข้อเสนอที่ครอบคลุมทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสถานการณ์ทางสังคม รวมไปถึงสัมปทานที่ดินและสภาพแวดล้อม
อุปสรรคขัดขวางที่สำคัญอย่างหนึ่งคือประโยคที่ว่า ไม่แยกตัวออกจากสหภาพ ซึ่งประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์รับรู้ได้ว่ารัฐบาลไม่เชื่อในความตั้งใจจริงของพวกเขา พวกเขาต้องการศัพท์บัญญัติที่เป็นเชิงบวกมากกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่า พวกเขาไม่มีความปรารถนาที่จะแยกตัวออกจากเมียนมา
ทางรัฐบาลยืนยันว่า กลุ่มชาติพันธุ์ไม่ควรมีท่าทียุ่งยากในการยอมรับประโยคนี้ หากตั้งใจที่จะจงรักภักดีกับประเทศ โชคดีที่การเผชิญหน้าไม่ได้ทำให้จิตวิญญาณปางหลวงหายไป ทุกคนจึงเห็นพ้องที่จะให้มีการพูดคุยกันใหม่ใน 6-12 เดือนหน้า