เมียนมาใช้สิทธิเลือกตั้งคึกคัก
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. เมียนมาเริ่มกระบวนการเลือกตั้งทั่วประเทศ นับเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 2 หลังจากทางผู้นำทหารจากกองทัพยุติการปกครองในเมียนมาตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา
แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ประชาชนชาวเมียนมาหลายล้ายคนเข้าแถวต่อคิวยาวหน้าคูหาเลือกตั้ง ซึ่งเปิดทำการตั้งแต่ 06.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
มีการคาดการณ์ว่า พรรครัฐบาลคือพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) จะคว้าชัยอีกครั้ง โดยโพลชี้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความพอใจกับการบริหารประเทศในวาระแรกภายใต้การนำของนางอองซาน ซูจี ซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องมีการบริหารจัดการอำนาจร่วมกับกองทัพของประเทศ
จากรายงานข่าวทางโทรทัศน์ มีการนับคะแนนการเลือตั้งล่วงหน้า ท่ามกลางเจ้าหน้าที่เลือกตั้ง ผู้สังเกตการณ์และผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยผลทางการจะทราบในช่วงบ่ายของวันที่ 8 พ.ย.
ในกรุงย่างกุ้ง ทางการมีมาตการรักษาระยะห่าง และมีการตรวจวัดอุณหภูมิผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง มีการแจกหน้ากากและเฟซชีลด์ให้กับผู้ที่เข้าคูหาเลือกตั้ง
มีประชาชน 37 ล้านคนที่มีสิทธิเลือกตั้ง และมีผู้สมัครกว่า 5,000 คนจากพรรคการเมืองสิบกว่าพรรค เพื่อช่วงชิงที่นั่งส.ส.ในสภา 1,117 ที่นั่งในสภากลางและสภาท้องถิ่น อ้างอิงจากข้อมูลของสภากกต.
ในการลงคะแนนที่กรุงเนปิดอว์ ผบ.สูงสุดที่ทรงอิทธิพลคือนายพลมินอองไลง์กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า “ ผมจะยอมรับความปรารถนาของประชาชน หลังผลการเลือกตั้งออกมา”
เป็นท่าทีที่ดูอ่อนลงจากจุดยืนของเขาในสัปดาห์ที่แล้ว ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง
“เราไม่สามารถปฏิเสธได้” เขาระบุเมื่อวันที่ 8 พ.ย. “ เราต้องยอมรับ เราจำเป็นต้องคิดว่า เราจะทำอย่างไรกับความคับข้องใจของประชาชน”
แม้กองทัพจะวางมือจากการควบคุมสภาในปี 2554 แต่ยังคงมีสัดส่วนของทหารถึง 25% ของที่นั่งในสภาเมียนมา และยังคงควบคุมกระทรวงกลาโหม กิจการข้ามพรมแดนและมหาดไทย โดยพรรคสหสามัคคีและการพัฒนาของทหารยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดของรัฐบาลพรรค NLD
ขณะที่นางซูจี ซึ่งรับตำแหน่งที่ปรึกษาแห่งรัฐหลังชัยชนะจากการเลือกตั้งปลายปี 2558 กล่าวกับประชาชนตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.ว่า ประชาธิปไตยยังคงดีที่สุดในเมียนมา แม้จะมีข้อบกพร่องบ้าง “ ทุกคะแนนเสียงมีความสำคัญเพราะเป็นการสร้างโชคชะตาของคุณเอง”
นางซูจี ซึ่งเป็นอดีตนักโทษการเมืองที่สร้างกระแสชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในช่วงปลายปี 2558 แต่หลังจากนั้น เธอไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก สร้างความผิดหวังให้กลุ่มชาติพันธุ์ และนานาชาติวิจารณ์ที่เธอกล่าวปกป้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมโรฮิงญา
คาดการณ์ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจจาก 6.8% ในปีที่แล้ว หดตัวลงมาอยู่ที่ 0.5% ในปีนี้ จากข้อมูลของธนาคารโลก จนถึงคืนวันที่ 7 พ.ย. เมียนมามีรายงานผู้ติดเชื้อสะสมจากโควิด-19 ถึง 60,348 ราย และมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 1,396 ราย
นายกันเมียนท์ตุน วัย 38 ปี เป็นคนหนึ่งที่มาใช้สิทธิเลือกตั้ง
“ การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะมาใช้สิทธิลงคะแนน” โดยเขา ซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทในย่างกุ้งกล่าวให้สัมภาษณ์สื่อ
“ ผมไม่พอใจกับการทำงานของรัฐบาลพรรค NLD ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส.ส.และรมว.หลายคนไม่มีคุณสมบัติพอ แต่ผมอยากให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง เพื่อสานต่อและบรรลุงานที่ผ่านมา” เขากล่าว
ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่าการเลือกครั้งครั้งที่แล้วที่ทำสถิติสูงสุดคือ 69%