ครูอินโดฯเตือนติดเชื้อใหม่หลังเปิดเรียน
จาการ์ตา : เมื่อวันที่ 13 ส.ค. สมาพันธ์ครูอินโดนีเซียระบุว่า การเปิดเรียนในบางพื้นที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดคลัสเตอร์การติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ เนื่องจากมีเด็กนักเรียนและครูอย่างน้อย 180 รายที่ติดเชื้อหลังเปิดเรียนในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา
อินโดนีเซีย ซึ่งมีจำนวนประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก อนุญาตให้โรงเรียนเปิดทำการเรียนการสอนได้ โดยจำกัดอยู่ในเขตพื้นที่สีเหลือง และสีเขียว ซึ่งมีรายงานผู้ติดเชื้อน้อยกว่าที่อื่น และครอบคลุมจำนวนนักเรียน 43% จากข้อมูลของรัฐบาล
ผู้ปกครองสามารถเลือกได้ที่จะไม่ให้ลูกไปเรียนที่โรงเรียนในพื้นที่เหล่านี้ และไม่อนุญาตให้มีกิจกรรมเสริมหลักสูตรใดๆ
เฮรู ปุรโนโม เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมครูอินโดนีเซีย (FSGI) ระบุว่า การเว้นระยะห่างทางสังคมยังคงเป็นมาตรการจำเป็น
“ เรามีความกังวลว่าโรงเรียนอาจกลายเป็นคลัสเตอร์ติดเชื้อใหม่” ปุรโนโมกล่าว “ การเรียนทางไกลไม่ว่าจะออนไลน์หรือไม่ก็ตาม ก็ปลอดภัยกว่าเรียนที่โรงเรียน”
เมื่อวันที่ 13 ส.ค. วิกุ อดิซัสมีโต โฆษกของคณะทำงานบริหารจัดการโควิด-19 กล่าวกับสื่อว่า คลัสเตอร์ใหม่จะไม่เกิดขึ้นที่โรงเรียน หากมีการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
ขณะที่นาเดียม มาคาริม รมว.กระทรวงศึกษาธิการอธิบายถึงนโยบายในการเปิดเรียนอย่างจำกัด เขาระบุว่า เกือบ 90% ของเด็กนักเรียนอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่ง “ยากมากสำหรับเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ที่จะพึ่งพาเทคโนโลยีในการเรียนทางไกล”
ในรายงานสถานการณ์เมื่อวันที่ 13 ส.ค. องค์การอนามัยโลกในอินโดนีเซียเตือนว่า การให้เด็กๆกลับไปเรียนที่โรงเรียน “มีความเสี่ยงที่จะมีการแพร่ระบาดในท้องถิ่น เป็นภาระหนักยิ่งขึ้นกับระบบสาธารณสุขของชาติ และบุคลากรทางการแพทย์ และในระยะยาว จะชะลอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ”
บางจังหวัดมีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อในกลุ่มเด็กวัยรุ่นเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยในปาปัว เมื่อวันที่ 12 ส.ค. มีผู้ติดเชื้อเกือบ 300 รายที่อายุต่ำกว่า 19 ปี
ผู้ร่วมก่อตั้ง Lapor COVID-19 ซึ่งเป็นกลุ่มอาสาสมัครที่ให้ข้อมูลเรื่องนี้ กล่าวให้สัมภาษณ์สื่อว่า พบ 6 คลัสเตอร์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนที่เปิดเรียนในกาลิมันตันตะวันตกบนเกาะบอร์เนียว
โดยในวันที่ 13 ส.ค. ทั่วประเทศอินโดนีเซียรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 2,098 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 65 ราย
อินโดนีเซียมีผู้ป่วยสะสมทั้งหมดจากโควิด-19 สูงถึง 132,816 ราย และมีผู้เสียชีวิต 5,968 ราย เป็นตัวเลขผู้เสียชีวิตสูงที่สุดในอาเซียน โดยประมาณ 9% ของผู้ติดเชื้ออยู่ในวัย 0 – 18 ปี