ภาคเกษตรเวียดนามครึ่งปีแรกโต

ฮานอย – ภาคเกษตรกรรมของเวียดนามคงการเติบโตได้ในครึ่งปีแรกของปีนี้ แม้จะเผชิญกับหลายปัญหา โดยเฉพาะโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกรซึ่งมีผลกระทบอย่างรุนแรงกับการเลี้ยงสัตว์ในประเทศ
Phùng Đức Tiến รมช.กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทของเวียดนามออกแถลงการณ์ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.เกี่ยวกับการผลิตและธุรกิจของภาคเกษตรกรรมในช่วงครึ่งปีแรก
ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ประเมินว่ามูลค่าผลผลิตการเกษตรเติบโต 2.7% – 2.9% สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเติบโตถึง 1.68% ในด้านเกษตร 4.53% ด้านป่าไม้ และ 6.5% ในด้านประมง
จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท มูลค่าการส่งออกโดยรวมของเกษตรกรรม ป่าไม้และประมง ในช่วงครึ่งปีแรกเติบโต 2.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน มีมูลค่า 19,750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญลดลง 8.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ลงมาอยู่ที่ 9,330 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันสินค้าปศุสัตว์เพิ่มขึ้น 1.8% เป็น 311 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับสินค้าอาหารทะเลเติบโต 0.7% เป็น 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในส่วนผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ เติบโต 21.2% เป็น 5,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในส่วนมูลค่าการส่งออกป่าไม้ 4,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาจากไม้และผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ เติบโตเพิ่มขึ้น 20% และในส่วนผลิตภัณฑ์จากหวายและไผ่มีมูลค่า 236 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 55.7%
อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรกรรมในช่วง 6 เดือนแรกของปีต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งสภาพอากาศที่แปรปรวน การแพร่กระจายของน้ำเค็มเข้าไปในน้ำจืดสาม
เหลี่ยมปากแม่น้ำโขง รวมทั้งภัยแล้งใน Central Highlands และ South Central Coast
สินค้าเกษตรกรรม ป่าไม้และประมงมีราคาลดลง ขณะที่โรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกรส่งผลกระทบกับผลผลิตเนื้อหมู
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงว่า จำนวนปศุสัตว์ในฟาร์มทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 2.9% ขณะที่จำนวนปศุสัตว์เพื่อเป็นเนื้อสัตว์มีปริมาณ 193,000 ตัน เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้อานิสงส์จาการบริโภคที่ดีและราคาสูงขึ้น ส่งผลทำให้จำนวนการเลี้ยงสัตว์ปีกเพิ่มขึ้น 11% – 12%
ขณะเดียวกัน การประมงก็มีการเติบโตที่ดี และหวังว่าจะเพิ่มเป็น 6.5% – 6.7% ในปี 2562 การเติบโตที่โดดเด่นคือการส่งออกต่างประเทศ โดยทางการตั้งเป้าว่าการส่งออกจะอยู่ที่ 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีนี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สูงแต่ยังสามารถบรรลุผลได้ โดยเสริมว่าสัดส่วนของสินค้าคุณภาพสูงในผลผลิตการเกษตรและการส่งออกเพิ่มขึ้น.