สิงคโปร์ทดสอบสแกนม่านตาที่ด่านต.ม.
สิงคโปร์เริ่มสแกนดวงตาของนักเดินทางที่ผ่านด่านตรวจชายแดน สำนักตรวจคนเข้าเมืองรายงานเมื่อวันที่ 6 ส.ค. เพื่อเป็นการทดสอบเทคโนโลยีราคาแพงที่จะมาแทนระบบตรวจสอบด้วยลายนิ้วมือในอนาคต
ถือเป็นสิ่งล่าสุดจากนวัตกรรมไฮเทคในสิงคโปร์ (ซึ่งบางอย่างก็ดูจะทำให้ผู้สนับสนุนกลุ่มสิทธิแสดงความกังวล) ที่ตั้งเป้าเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของประชาชน เนื่องจากในภูมิภาคนี้มีภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้ายมากขึ้น
เทคโนโลยีสแกนม่านตา ซึ่งมีการใช้งานกันในหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร แต่อาจมีผลลัพธ์ของความสำเร็จที่แตกต่างกัน มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าระบบตรวจสอบด้วยลายนิ้วมือถึง 5 เท่า อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญ
“การทดสอบจะช่วยเราในการพิจารณาว่าเราควรใช้เทคโนโลยีนี้ที่ด่านตรวจของเราหรือไม่” สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสิงคโปร์ระบุในแถลงการณ์
โดยจะมีการทดสอบการใช้งานระบบสแกนม่านตาที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง 2 แห่งที่ด่านพรมแดนทางเหนือติดกับมาเลเซีย และอีกแห่งที่ด่านเรือเฟอร์รีที่มีการให้บริการใกล้กับเกาะของอินโดนีเซีย
สำนักตรวจคนเข้าเมืองของสิงคโปร์ได้เริ่มสแกนเก็บภาพม่านตาของพลเมืองสิงคโปร์และผู้อยู่อาศัยถาวรเมื่อพวกเขามาทำบัตรประจำตัวประชาชน หรือหนังสือเดินทาง ตั้งแต่เดือนม.ค.ปี 2560
ท่าอากาศยานนานาชาติชางงีของสิงคโปร์กำลังพิจารณาที่จะใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเพื่อค้นหาผู้โดยสาร และสิงคโปร์ยังมีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าในโครงการติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์บนโคมไฟ 100,000 จุดทั่วเมืองอีกด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ระบุว่า มาตรการนี้เป็นวิธีการปฏิบัติเพื่อปรับปรุงชีวิตและคุณภาพของประชาชนในประเทศ และให้คำมั่นที่จะระมัดระวังและปกป้องความเป็นส่วนตัวของพลเมืองซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหว
สิงคโปร์ซึ่งเป็นฮับทางการเงินที่ทันสมัยในภูมิภาคระบุว่า ตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มติดอาวุธในการโจมตีมานานหลายปี โดยบางส่วนเป็นกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมจากประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นประเด็นสำคัญที่ไม่รู้ว่า ‘เมื่อไร’ ที่กลุ่มติดอาวุธจะลงมือ หรือ จะป้องกันอย่างไรหากกลุ่มติดอาวุธลงมือจริงๆ
ถึงแม้สิงคโปร์จะเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากที่สุดในอาเซียนก็ตาม แต่ก็เพิ่งถูกโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ไปเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยแฮกเกอร์สามารถล้วงข้อมูลประวัติสุขภาพของพลเมืองสิงคโปร์ไปได้มากกว่าล้านราย ซึ่งรวมถึงข้อมูลของนายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงด้วย และในปี 2560 ก็ยังเคยถูกแฮกเกอร์โจมตีที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางด้วย
สิงคโปร์ถือเป็นประเทศที่เข้มงวดเรื่องความปลอดภัย และมีกฎหมายเคร่งครัดในการลงโทษผู้กระทำผิด จะเห็นได้จากบทลงโทษนอกเหนือจากโทษจำคุก โทษปรับแล้ว ยังมีโทษโบยอีกด้วย ทำให้ที่ผ่านมา ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศในเอเชียที่จัดได้ว่าปลอดภัยเป็นลำดับต้นๆ.