พระเมียนมาใช้เฟซบุ๊กต่อหลังถูกแบน
เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.กลุ่มพระสงฆ์เมียนมาหัวรุนแรงระบุว่า จะหลีกเลี่ยงการถูกแบนจากเฟซบุ๊กและจะยังคงใช้งานเฟซบุ๊กต่อเพื่อบอกเล่าความจริง หลังจากยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียแบนพระสงฆ์ศาสนาพุทธคลั่งชาติที่ใช้ข้อความสร้างความเกลียดชังชาวมุสลิมโรฮิงญา
เจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติซึ่งทำการสอบสวนว่าอาจมีกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งรุนแรงในเมียนมาระบุว่า เฟซบุ๊กกลายเป็นแหล่งโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านชนกลุ่มน้อยในประเทศ มีการใช้งานเฟซบุ๊กมากจนกลายเป็นเครื่องมือในการสื่อสารไปอย่างแพร่หลายเนื่องจากประเทศกำลังเปิดกว้าง
กลุ่มพระสงฆ์เมียนมาที่คลั่งชาติและนักเคลื่อนไหวหัวรุนแรง ซึ่งได้สร้างเครือข่ายกองกำลังทางการเมืองขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ได้แชร์ถ้อยคำที่มีแต่ความรุนแรงและความโกรธเกรี้ยวบนเฟซบุ๊กโดยตั้งเป้าไปที่ชนกลุ่มน้อยโรฮิงญา เนื่องจากชาวพุทธซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศมองว่าพวกเขาเป็นเพียงผู้อพยพผิดกฎหมาย
“ นี่เป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก” Thuseitta สมาชิกของสหภาพพระสงฆ์เมียนมารักชาติกล่าวกับสื่อรอยเตอร์ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเฟซบุ๊กพิสูจน์ตัวตนเขาว่าเป็น ผู้เกลียดชัง
“ เราจะใช้เฟซบุ๊กต่อไปด้วยชื่ออื่น บัญชีอื่น เพื่อบอกเล่าความจริงกับประชาชน ”
ทั้งนี้ สหประชาชาติและองค์กรให้ความช่วยเหลือระบุว่า มีชาวมุสลิมโรฮิงญาเกือบ 700,000 คนอพยพหนีข้ามพรมแดนไปบังคลาเทศ หลังการปราบปรามอย่างรุนแรงจากกองทัพเมียนมา หลังจากมีกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐก่อนในเดือนส.ค.ปี 2560
โดยทางวอชิงตันเรียกการปราบปรามของทหารเมียนมาว่า การกวาดล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งเป็นข้อหาที่เมียนมาปฏิเสธ โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของเมียนมาได้ปฏิบัติภารกิจเพื่อปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายชาวเบงกาลีเท่านั้น
Pinnyawenta พระสงฆ์อีกรูปจากสหภาพซึ่งบัญชีเฟซบุ๊กของเขาถูกระงับในเดือนพ.ค. หลังจากเฟซบุ๊กขอให้ลบบางโพสต์ออก โดยเขากล่าวว่า เขาลงทะเบียนเข้าใช้งานเฟซบุ๊กอีกครั้งด้วยชื่ออื่น และจะยังคงโพสต์ข้อความบอกเล่าความจริงกับผู้คนต่อไป
ข้อความในอีเมลระบุว่า เฟซบุ๊กกล่าวกับรอยเตอร์ว่า ได้ลงทุนเพิ่มจำนวนคนทำงานมากขึ้นในเมียนมา เพื่อทำความเข้าใจและตอบรับกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคที่ไม่เหมือนที่ใดของเมียนมา
“ มีอีกมากที่เราสามารถทำได้เพื่อรับมือกับผู้โจมตีหน้าเดิม และเราให้คำมั่นที่จะปรับปรุงเครื่องมือตรวจจับเพื่อกำจัดข้อความเหล่านั้นออกจากเฟซบุ๊กให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
โดยทางเฟซบุ๊ก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนียจะลงทุนมากขึ้นกับปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้สามารถเข้าใจและรับมือกับภาษาต่างๆ ในเมียนมา บริษัทเสริมว่า กลุ่มพระสงฆ์และนักเคลื่อนไหวกลุ่มนี้เป็นบุคคลและองค์การที่สร้างความเกลียดชัง และพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจำนวนมากที่วิจารณ์ชาวโรฮิงญาอย่างรุนแรงจะถูกบล็อกไม่ให้ใช้งานเฟซบุ๊กอีก
ความเคลื่อนไหวของเฟซบุ๊กครั้งนี้ทำให้มีการลบเนื้อหาที่รุนแรงและละเมิดสิทธิทั้งหมด เฟซบุ๊กรายงาน
Ei Myat Noe Khin ผู้จัดการของ Phandeeyar ที่ย่างกุ้ง ซึ่งช่วยเฟซบุ๊กแปลภาษาเมียนมาตามมาตรฐาน และสนับสนุนให้บริษัทจ้างงานคนมากขึ้น ซึ่งเป็นคนที่ไม่มีอคติและเข้าใจภาษาเมียนมาได้ดี
นี่เป็นวิธีเดียวสำหรับเฟซบุ๊กที่จะรับมือกับบัญชีผู้ใช้งานคลั่งชาติในเมียนมาที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อปล่อยข่าวลือ เผยแพร่ความรุนแรง ก่อให้เกิดความขัดแย้งและการจลาจล เธอเสริม.