โจโควี่ให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนหลังเหตุก่อการร้าย
เพื่อเป็นการให้ความเชื่อมั่นกับนักลงทุนทางธุรกิจ ประธานาธิบดีโจโค วิโดโดแห่งอินโดนีเซียย้ำถึงภารกิจการต่อสู้กับการก่อการร้าย โดยเขาสนับสนุนให้มีการฟื้นฟูหน่วยพิเศษทางทหารขึ้นมาใหม่
โดยการพูดคุยพร้อมคณะรัฐมตรีในระหว่างการประชุมกับนักธุรกิจเมื่อเย็นวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจโคแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับแนวคิดของผู้ก่อการร้ายที่เลวร้ายถึงขนาดบังคับให้ครอบครัวและเด็กต้องกลายเป็นเครื่องมือในการก่อการร้าย โดยเขาอ้างถึงคดีการโจมตีของผู้ก่อการร้ายล่าสุดในสุราบายา และ Sidoarjo ทางชวาตะวันออก
“ รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรกำลังทำงานร่วมกันเพื่อให้แน่ใจว่ากฎหมายปราบปรามการก่อการร้ายจะลุล่วงสมบูรณ์ ” เขาระบุในสุนทรพจน์
“ และรัฐบาลยังอยู่ในกระบวนการสร้างหน่วยปฏิบัติการพิเศษผสมเพื่อป้องกันรักษาความปลอดภัยอีกด้วย ”
คำพูดของเขาเป็นการยืนยันคำพูดของอดีตผู้บัญชาการทหารก่อนหน้านี้ว่า ประธานาธิบดีโจโคแสดงท่าทียินยอมให้มีการฟื้นฟูหน่วยปราบปรามการก่อการร้ายขึ้นมาใหม่ โดยหน่วยงานนี้ จะเป็นการรวมตัวกันของหน่วยรบพิเศษทหารบก หน่วยทหารเรือพิเศษ และหน่วย Bravo 90 ของกองทัพอากาศซึ่งมีการเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหวทันทีเมื่อเกิดภัยการก่อการร้ายขึ้น
โดยหน่วยรบพิเศษผสมก่อตั้งขึ้นในปี 2558 ที่มี Moeldoko รับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม หน่วยปฏิบัติการพิเศษนี้ถุูกระงับไปในสมัยนายพล Gatot Nurmantyo
เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ประธานาธิบดีโจโคย้ำว่า ปฏิบัติการพิเศษทางทหารจะทำหน้าที่ในสถานการณ์ที่เกินขีดความสามารถของตำรวจแห่งชาติในลักษณะของมาตรการป้องกัน ซึ่งเขากล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการเฝ้าระวังอดกลั้น
“ มาตรการป้องกันที่ดีที่สุดคือการทำความสะอาดสถาบันการศึกษา ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย และพิ้นที่สาธารณะ และการชุมนุม เพื่อให้พ้นจากการถูกล้างสมองจากกลุ่มก่อการร้าย ” ผู้นำอินโดนีเซียกล่าว
เหตุก่อการร้ายในสุราบายา และ Sidoarjo ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 25 ราย ทั้งมือระเบิดฆ่าตัวตายเองและเด็กคนอื่นๆ และทำให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 41 คน
จากสถานการณ์ที่กำลังเลวร้าย ทำให้อินโดนีเซียประสบกับแรงกดดันภายนอก เนื่องจากค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าลงท่ามกลางดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25 เป็น 4.5% เมื่อช่วงเย็นวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา
มีเงินรูเปียห์อย่างน้อย 37.18 ล้านล้านรูเปียห์ หรือราว 85,166 ล้านบาทในพอร์ทการลงทุนที่ถูกถอนออกไปจากตลาดการเงินในอินโดนีเซียตั้งแต่ 2 ม.ค. – 11 พ.ค.ปีนี้ อ้างอิงจากข้อมูลของบลูมเบิร์ก
เนื่องจากธนาคารกลางหยุดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน จึงอาจไม่มีปัจจัยอื่นที่จะหนุนเศรษฐกิจอินโดนีเซีย ซึ่งมีการเติบโต 5.06% ต่อปี ในไตรมาสแรก นอกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยขับเคลื่อนการบริโภค Rosan P. Roeslani ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมกล่าว หลังจากเข้าร่วมในการประชุมเมื่อวันที่ 18 พ.ค.กับประธานาธิบดีโจโค
“ เราได้ยินว่า นายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัดแห่งมาเลเซียยกเลิกภาษีสินค้าและบริการ (GST) อัตรา 6% เราไม่ได้ขอรัฐบาลมากถึงขนาดนั้นแต่เราหวังให้มีการยกเว้นภาษีเป็นการชั่วคราวเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ” เขากล่าว
Bhima Yudhistira Adhinegara นักเศรษฐศาสตร์ที่สถาบันพัฒนาเศรษฐศาสตร์และการเงินกล่าวว่า รัฐบาลควรใช้งบประมาณอุดหนุนเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการส่งออกโภคภัณฑ์ธรรมชาติอย่างมากของอินโดนีเซียลง.