สิงคโปร์ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจปีนี้
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมภายนอก สิงคโปร์มีแผนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในปี 2561 นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงกล่าวในสุนทรพจน์สำหรับวันปีใหม่เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา
โดยแผนการยังรวมถึงแผนปฏิรูปอุตสาหกรรม และใช้โครงการ SkillsFuture ที่เป็นโครงการพัฒนาทักษะทรัพยากรมนุษย์เพื่อเน้นย้ำถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิตและช่วยให้แรงงานปรับเปลี่ยนและเติบโตในงานใหม่ๆ ผู้นำสิงคโปร์กล่าว
คาดการณ์ว่าจะมีการขยายระบบการดูแลสุขภาพเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และมีการสร้างสถานรับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนเพื่อให้เด็กๆมีการเริ่มต้นชีวิตที่แข็งแกร่ง เขากล่าว
สำหรับในส่วนโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อปรับปรุงระบบรางและขยายโครงข่ายระบบรถไฟฟ้า MRT โครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ยังค้างท่ออยู่ รวมถึงอาคารผู้โดยสาร 5 ของสนามบินชางงี ท่าเรือขนาดใหญ่ Tuas และรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย
“ โครงการลงทุนสำคัญทั้งหมดในอนาคตของเรา ต้องการทั้งเวลาและแหล่งเงินทุน และจะใช้เวลานานเกินกว่าวาระของรัฐบาล เราต้องวางแผนล่วงหน้าให้ดีสำหรับสิ่งเหล่านี้” นายกฯลีกล่าว
“ นี่คิอสิ่งที่เราได้สร้างสิงคโปร์ให้เป็นอย่างทุกวันนี้ คนทุกรุ่นทำงานหนักและประหยัดอดออมเพื่ออนาคต เพื่อสร้างสิ่งที่จะเป็นมรดกให้ลูกหลานและส่งต่อสิ่งที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นต่อไป นี่เป็นหลักความเชื่อที่ขับเคลื่อนคนรุ่นบุกเบิกของสิงคโปร์ และจะขับเคลื่อนคนรุ่นเราเช่นกัน”
โดยนายกฯ ลีชี้ว่า สิงคโปร์จบปี 2560 ลงได้อย่างแข็งแกร่งเดินคาดการณ์ ด้วยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อปีถึง 3.5% มากกว่าสองเท่าของการคาดการณ์ล่วงหน้าของรัฐบาล ค่าจ้างยังสูงขึ้นในทั่วทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และมีรายได้ปานกลาง
“ เราได้ผลประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นทั่วโลก แต่สำหรับในส่วนรากฐาน ผลผลิตของเราเติบโตขึ้น” เขากล่าว “ ชาวสิงคโปร์ได้ยกระดับและเรียนรู้ทักษะใหม่ ขณะที่ธุรกิจกำลังเป็นนวัตกรรมและรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งทำให้เรามีศักยภาพในการแข่งขันและพร้อมสำหรับอนาคต”
“ ก้าวสำคัญของเราเพื่อหนุนความกลมเกลียวของเชื้อชาติให้แข็งแกร่ง ทั้งในปัจจุบันและอนาคตคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทำให้เรามีประธานาธิบดีฮาลิมาห์ ยาคอบ เป็นประธานาธิบดีเชื้อสายมาเลย์คนแรกในรอบเกือบ 50 ปี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของเชื้อชาติ และความผูกพันของคนหลากหลายชาติพันธุ์ ”
โดยในปีต่อจากนี้คือปี 2562 จะเป็นปีที่ครบรอบ 2 ศตวรรษของสิงคโปร์ ครบ 200 ปีที่เซอร์สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ลงมาสำรวจเกาะสิงคโปร์ การลงมาสำรวจพื้นที่ของเขาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์สิงคโปร์
“ หากท่านเซอร์แรฟเฟิลส์ไม่ค้นพบที่นี่ สิงคโปร์ก็จะไม่เป็นจุดที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแตกต่างจากเกาะอื่นๆรอบๆเรา และประเทศในคาบสมุทรมลายู แต่เพราะท่าน สิงคโปร์จึงกลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เป็นท่าเรือปลอดภาษี และเป็นเมืองสมัยใหม่ ”