ครัวเรือนอินโดฯจับจ่ายน้อยลงปีหน้า
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ประชาชนจะเก็บออมเงินไว้ในบัญชีธนาคารมากกว่าที่จะใช้จ่ายในปีหน้า
“ผู้คนจะยังนิยมเก็บออมเงินในบัญชีไว้มากกว่า เพราะพวกเขากำลังรอนโยบายที่ชัดเจนจากทางรัฐบาล โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับราคาสินค้า เช่น ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในปีหน้า” Josua Pardede นักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคาร Pertmata ระบุในเว็บไซต์ Kontan.co.id
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นทั่วโลกมีแนวโน้มจะผลักดันให้รัฐบาลปรับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นอีกในปีหน้า
โดย Josua กล่าวว่า ประชาชนกำลังอยากรู้ถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นราคาอาหารในอีก 3 เดือนข้างหน้าท่ามกลางฝนที่กำลังตกลงมาอย่างหนัก
“รัฐบาลควรจะประกาศนโยบายของรัฐบาลสำหรับปีหน้าออกมา เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค” เขากล่าว
เอนนี ศรี ฮาร์ตารี ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการคลัง (Indef) เสริมว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลงเกิดจากความรู้สึกด้านลบเกี่ยวกับการขาดโอกาสในการจ้างงานในอีก 6 เดือนข้างหน้า จากดัชนีคาดการณ์ความสามารถในการจ้างงานที่ซบเซาอยู่ที่ 120.9 จุดในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา
“ซึ่งดัชนีชี้ว่า ไม่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเดือนพ.ย.” เอนนีเสริม
โดยผลสำรวจของธนาคารกลางอินโดนีเซียชี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนพ.ย.อยู่ที่ 122.1 จุด เพิ่มขึ้น 1.4 จุดจากตัวเลขในเดือนต.ค. ได้แรงหนุนจากดัชนีคาดการณ์ที่ดีกว่า ซึ่งเพิ่มขึ้น 1 จุดจาก 133.8 จุดเป็น 134.8 จุด
ถึงแม้จะมีการมองสถานการณ์ในแง่ดี แต่การใช้จ่ายลดลง 0.4% มาอยู่ที่ 65.3%
ขณะเดียวกัน ในอีกมุมองด้านการใช้จ่ายเงินของประชาชน ยังคงเห็นตัวเลขการใช้จ่ายอยู่บ้าง โดยศรี โสลิสตีโยวาตี รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ของสำนักงานสถิติกลางปฏิเสธว่า ยอดขายค้าปลีกตามร้านที่ลดลงเกิดจากค้าปลีกออนไลน์ที่เกิดใหม่ขึ้นมาก
โดยเธอกล่าวว่า ส่วนแบ่งตลาดของอีคอมเมิร์ซยังคงต่ำอยู่เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งตลาดของค้าปลีกตามห้างร้าน “สัดส่วนการช้อปออนไลน์สำหรับการใช้จ่ายของครัวเรือนน้อยกว่า 1%” เธอกล่าวในงานแถลงข่าวใน Bogor ชวาตะวันตก ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่า ยังขาดข้อมูลของการทำธุรกรรมช้อปปิ้งออนไลน์จำนวนมาก เนื่องจากหน่วยงานของเธอเป็นผู้ทำการสำรวจเพื่อเก็บข้อมูลธุรกรรมของอีคอมเมิร์ซ
“ดังนั้น จึงเป็นเรื่องผิดที่จะโทษการซื้อของออนไลน์ว่าเป็นผลทำให้ค้าปลีกซบเซาลง” เธอเสริม
ทั้งนี้ เธอระบุว่า มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้จ่ายเงินของผู้คนในปัจจุบันด้วย
“คนเปลี่ยนมาใช้จ่ายเงินเพื่อสันทนาการมากขึ้น” เธอกล่าว โดยเสริมว่า ผู้คนใช้จ่ายเพื่อไปรับประทานอาหารที่ร้าน พักที่โรงแรมและหาความบันเทิงอื่นๆเพิ่มขึ้น ดังนั้น เธอจึงแนะนำให้รัฐบาลกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่ายเงินในประเทศ โดยพัฒนาความสะดวกสบายด้านสันทนาการให้มากขึ้น
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติกลาง การใช้จ่ายของครัวเรือนสำหรับร้านอาหารและโรงแรมคิดเป็น 5.52% ของรายได้ในไตรมาส 3 ของปี 2560 นี้ เมื่อเทียบกับตัวเลขในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 5.01%.