มุมมองของนายกสิงคโปร์
![](https://aec10news.com/wp-content/uploads/2019/08/xa.jpg)
สิงคโปร์เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากประเทศกำลังพัฒนากลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในเจเนเรชั่นเดียวโดยพึ่งพามือของรัฐบาลที่แข็งแกร่งทั้งในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ นโยบายเศรษฐกิจ
เงินออมสำหรับพลเมืองที่เกษียณอายุและอีกมาก จึงทำให้มีมุมมองว่าสิงคโปร์เป็น ‘รัฐพี่เลี้ยง’ (มีกฎระเบียบคุมเข้มประชาชนมากเกินไป)
ถึงแม้ปัจจุบัน สิงคโปร์จะเป็นประเทศพัฒนาแล้วเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชาชนชาวสิงคโปร์ยังคงคาดหวังสูงกับรัฐบาล และพวกเขามีสิทธิที่จะเป็นเช่นนั้น นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี
“ ถ้าคุณถามคนสิงคโปร์ ในแง่หนึ่งพวกเขาจะพูดว่า ให้เราทำของเราเอง แต่เมื่อเรื่องเหล่านั้นมีผลลัพธ์ออกมา พวกเขาก็จะถามว่า แล้วรัฐบาลทำอะไรในเรื่องนี้บ้าง? และพวกเขาคาดหวังสูงว่ารัฐบาลควรจะทำอะไร ซึ่งก็ถูกต้องแล้วเพราะพวกเขาโหวตให้รัฐบาล พวกเขาจึงคาดหวังว่ารัฐบาลจะสามารถทำได้ เราจึงต้องพยายามรักษาสมดุลไว้ ” ผู้นำสิงคโปร์กล่าว
ไม่มีรัฐบาลใดจะเจริญรุ่งเรืองด้วยการพูดว่า “ ฉันไม่ต้องการทำอะไร แค่เป็นอย่างนั้น เราได้ขับเคลื่อนประเทศแล้ว ”
คุณต้องมีไอเดียของสิ่งที่จำเป็นต้องทำ สิ่งที่จำเป็นต้องแก้ไข สิ่งที่สามารถปรับปรุงได้ สิ่งที่เราจะมีจินตนาการร่วมกันในสิ่งที่เราไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน และมีความคิดเกี่ยวกับกับมัน ตัดสินใจที่จะขับเคลื่อน นั่นคือหน้าที่ของรัฐบาล ” เขากล่าว
นายกฯ ลีเสริมว่า ความท้าทายสำคัญในประเทศของรัฐบาล ซึ่งเหมือนกับรัฐบาลในประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ คือการทำให้แน่ใจว่าแรงงานสามารถพัฒนาได้
โดยยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลสิงคโปร์ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ มีระบบการศึกษาที่จะสร้างคนให้มีทักษะที่ดี ยกระดับและกระตุ้นผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่แล้วในระบบแรงงาน และเปลี่ยนผ่าน 23 อุตสาหกรรมด้วยแผนการที่แตกต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์นี้ถูกบรรจุอยู่ในรายงานของคณะกรรมการเพื่อเศรษฐกิจในอนาคต ที่มีการจัดตั้งขึ้นในปีที่แล้วเพื่อรับมือกับความท้าทายที่กำลังเพิ่มขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซา และการชะงักงันทางเทคโนโลยี
คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์ที่พึ่งพาการค้าเป็นหลักจะมีการเติบโตอยู่ระหว่าง 2% – 3% ในปีนี้ ซึ่งเป็นระดับที่นายกฯ ลีมองว่าเป็นตัวเลขที่สำคัญมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานของประเทศที่พัฒนาแล้ว
จากเศรษฐกิจที่เติบโตมาเป็นเวลานานของสิงคโปร์ ทำให้มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้นำ ลีเซียนลุงเป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2547 และเขากล่าวว่า เขาตั้งใจที่จะลงจากตำแหน่งผู้นำประเทศหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าซึ่งจะมีขึ้นในเดือนม.ค.ปี 2564
เขากล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรีที่เต็มไปด้วยรัฐมนตรีอายุน้อยรุ่นใหม่ที่จะตัดสินใจว่า ใครควรจะเป็นผู้นำทางพวกเขาให้ก้าวไปข้างหน้าต่อไป.