กลุ่มติดอาวุธในฟิลิปปินส์มีผู้หญิงและเด็ก
กองทัพฟิลิปปินส์ที่ต่อสู้กับกลุ่มกบฎอิสลามทางตอนใต้ของประเทศต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มก่อการร้ายที่มีนักรบส่วนหนึ่งเป็นผู้หญิงและเด็ก อ้างอิงจากรายงานของกองทัพเมื่อวันที่ 4 ก.ย. เนื่องจากกำลังทหารพยายามจะผลักดันการต่อสู้เป็นรอบสุดท้ายเพื่อยุติความขัดแย้งที่ทำให้มีการสู้รบมานานกว่า 100 วัน
โดยกองกำลังภาคพื้นดินของฟิลิปปินส์ตีวงแคบเข้ามาเรื่อยๆเพื่อล้อมกรอบกลุ่มติดอาวุธซึ่งยึดครองพื้นที่เมืองมาราวีบนเกาะมินดาเนา พื้นที่ยึดครองของกลุ่มก่อการร้ายหดเล็กลงจนเหลือเพียงใจกลางเมืองมาราวีเท่านั้นในขณะนี้
“เราอยู่ในแผนปฏิบัติการรบครั้งสุดท้าย และเราคาดการณ์ว่าจะมีการสู้รบที่ตึงเครียดและเสียเลือดเนื้อมากยิ่งขึ้น เราอาจต้องสูญเสียชีวิตกำลังพลของเราเพิ่มขึ้น เพราะศัตรูของเรากำลังจนตรอก” พลโทคาร์ลิโต กัลเวซ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพในภาคตะวันตกของมินดาเนากล่าว
เขากล่าวว่า กลุ่มก่อการร้ายลดจำนวนลง ทำให้ผู้หญิงและเด็ก ซึ่งส่วนมากเป็นสมาชิกในครอบครัวของผู้ก่อการร้ายเอง ต้องจับอาวุธเข้าร่วมในการต่อสู้
“ทหารของเราในสนามรบเห็นกลุ่มผู้หญิงและเด็กยิงปืนมาที่พวกเขา”
มี่จำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่า 800 ตน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ก่อการร้ายจากการสู้รบตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. จนถึงตอนนี้ ขณะที่กองทัพสามารถยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองได้แล้ว
การสู้รบครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดและท้าทายความมั่นคงในรอบหลายปีของฟิลิปปินส์ที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิก ถึงแม้จะมีประวัติการยึดครองของกลุ่มกบฎแบ่งแยกดินแดนบนเกาะมินดาเนามานานหลายปี ทำให้เกาะมินดาเนาซึ่งมีจำนวนประชากรถึง 22 ล้านคนต้องอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกจนถึงสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ การสู้รบของกองทัพกับกลุ่มกบฎในฟิลิปปินส์เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากทางการมีความกังวลว่าความยืดหยุ่นของกลุ่มกบฎที่สวามิภักดิ์ต่อกลุ่มก่อการร้ายจากรัฐอิสลามหรือไอเอสในอิรักและซีเรีย และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มติดอาวุธในมาเลเซียและอินโดนีเซียจะก่อตั้งเป็นพันธมิตรที่มีการบริหารจัดการที่ดีทั้งด้านเงินทุนสนับสนุนและด้านอาวุธ และจะพยายามยึดครองเกาะมินดาเนาให้ได้แบบเบ็ดเสร็จ
อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้จาก 4 ตัวประกันที่หลบหนีมาได้ พลโทกัลเวซระบุว่า มีตัวประกันที่เป็นชาวคริสเตียนทั้งหมด 56 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เนื่องจากผู้ชายประมาณ 80 คนถูกบีบบังคับให้จับอาวุธสู้กับกองทัพ
โดยการสู้รบพุ่งเป้าไปที่พื้นที่รอบๆมัสยิดประมาณ 1 ใน 4 ตารางก.ม.เขากล่าวว่า ทหารเข้าตรวจสอบและยึดพื้นที่อาคารได้ประมาณ 35 แห่งต่อวัน และหากทำได้เช่นนี้อย่างต่อเนื่อง จะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ในการเข้ายึดคืนพื้นที่ทั้งเมืองให้กลับมาอยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาล
เมื่อวันที่ 4 ก.ย.การสู้รบในมาราวีค่อนข้างตึงเครียด มีทั้งเสียงปืนและระเบิดทั่วพื้นที่ริมทะเลสาบของเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกโจมตีทางอากาศจากกองทัพเกือบทุกวัน มีเฮลิคอปเตอร์บินวนรอบเพื่อคุ้มครอง
กองกำลังบนพื้นดิน และมีการทิ้งระเบิดลงพื้นที่ของกลุ่มกบฎอย่างต่อเนื่อง.