ลาวสั่งปิดสวนกล้วย
สปป.ลาว สั่งปิดสวนกล้วยที่มีนายทุนเป็นคนจีน หลังพบสวนกล้วยขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่มีสารพิษตกค้าง เกษตรกรมีอาการเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้น
สถานีข่าวเรดิโอ ฟรี เอเชียหรืออาร์เอฟเอ รายงานเมื่อวันที่15เม.ย.ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลสปป.ลาว เริ่มสั่งปิดสวนปลูกกล้วยเพื่อการพาณิชย์ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมของกลุ่มนักธุรกิจชาวจีนเพิ่มมากขึ้นแล้ว หลังจากมีรายงานข่าวทำนองนี้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่จังหวัดบ่อแก้ว ทั้งนี้ทางการสปป.ลาว ได้บังคับใช้คำสั่งเดียวกันเพิ่มในอีก 6 จังหวัด ประกอบด้วย พงสาลี หลวงพระบาง ไซยะบุรี หลวงน้ำทา อุดมไซและเขตนครหลวงเวียงจันทน์
แหล่งข่าวคนหนึ่งเผยกับอาร์เอฟเอว่า ตอนนี้กลุ่มนักลงทุนชาวจีนในหลวงพระบาง เริ่มพากันถอยออกไปอย่างเงียบๆตั้งแต่คำสั่งห้ามเริ่มบังคับใช้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากทางการสปป.ลาวจะไม่ต่ออายุสัญญาสัมปทานให้อีก แต่ก็มีนักธุรกิจชาวจีนบางคน วางแผนที่จะปลูกอ้อยแทนกล้วย เพราะใช้สารเคมีในรูปของปุ๋ยและยาฆ่าแมลงน้อยกว่าและทำลายสิ่งแวดล้อมไม่เท่าการปลูกกล้วย
ด้านเจ้าหน้าที่ในจังหวัดพงสาลีระบุว่าเจ้าหน้าที่จะไม่ต่ออายุสัมปทานให้นักลงทุนอีกหลังจากสัมปทานหมดอายุ และจะทำการย้ายชาวบ้านที่อยู่ใกล้สวนกล้วยไปอยู่ที่อื่นเพราะสวนกล้วยเหล่านี้ได้ทำลายทั้งสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชาวบ้านไปหมดแล้ว อีกทั้งชาวบ้านที่ทำงานดูแลสวนกล้วยยังล้มป่วยเพราะผลข้างเคียงจากการใช้สารเคมีดูแลสวนกล้วยทั้งที่พงสาลีและจังหวัดอื่นๆรวมหลายสิบคนแล้ว ตอนนี้ยังเหลือแปลงปลูกกล้วยเหลืออยู่ในสองอำเภอของพงสาลี แต่คาดว่าจะปิดตัวในปี2561
ขณะที่มารตราการแก้ปัญหาในจังหวัดอื่นๆ เจ้าหน้าที่ในจังหวัดหลวงน้ำทา เร่งส่งเสริมให้มีการปลุกพืชอื่นเป็นพืชทาง เลือกทดแทน เช่น อ้อยและมันสำปะหลัง ส่วนกลุ่มคนงานสวนกล้วยในอำเภอน้ำบากของหลวงพระบาง ได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ให้หยุดทำงานในสวนกล้วยทันทีแม้สัญญายังไม่หมด เพื่อป้องกันอันตรายจากสารเคมีที่ใช้ในสวนกล้วยโดยขอให้หยุดทำงานรอไปจนกกว่าสัญญาสัมปทานของนักลงทุนชาวจีนจะหมด ส่วนสัมปทานในอำเภอน้ำบากจะเหลืออายุอีก 3 ปี นั่นหมายความว่าในปี 2563 สวนกล้วยทั้งหมดจะต้องเลิกทำ ส่วนชาวบ้านสามารถปลูกพืชทดแทนชนิดอื่นได้